๙. มัทรี
การที่พระเวสสันดรทรงบริจาคปิยบุตรทั้งสองนั้น นับเป็นประวัติการณ์ยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีสามัญชนคนใดจะกระทำได้ง่ายนัก จึงทำให้เกิดโกลาหลหวั่นไหวไปถึงพรหมโลก ทวยเทพดาในราวป่าหิมวันต์ ได้สดับเสียงรำพันของกุมารทั้งสองแล้วแสนจะสงสาร จึงปรึกษากันว่า ถ้าพระนางมัทรีกลับถึงพระอาศรมแต่ยังวัน เมื่อไม่ทรงเห็นพระราชบุตรก็จะทรงถาม เมื่อได้สดับความก็จะเสด็จวิ่งโลดแล่นไปด้วยความอาลัยในบุตรทั้งสองเป็นกำลัง ก็น่าจะพึงเสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสนัก จึงตกลงมอบหน้าที่ให้เทพบุตรทั้งสามแปลงเพศเป็นราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง ไปกั้นหนทางที่พระนางเสด็จกลับไว้ จนกว่าจะได้เวลาพลบค่ำจึงหลีกทางให้ พระนางจะเสด็จกลับได้ด้วยแสงจันทร์ และให้เทพทั้งสามนั้นคอยอารักขาอย่าให้มีภยันตรายใด ๆ เกิดขึ้นแก่พระนางในระหว่างทางได้
วันนั้นตั้งแต่จากพระอาศรมมา พระนางมัทรีได้มีพระหฤทัยหวาดอยู่ไม่ขาดระยะ พระนางทรงเชื่อว่าความฝันนั้นเป็นลางร้าย จึงรีบขวนขวายหามูลพลาหารเพื่อจะได้รีบกลับแต่วัน แต่ก็ให้มีอันเป็นไปต่าง ๆ นานา เสียมหลุดจากพระหัตถ์ กระเช้าเลื่อนหลุดจากพระอังสา พระเนตรเบื้องขวาก็เขม่นอยู่ริก ๆ ต้นไม้ที่มีผลก็กลับพิกลเป็นไม่มี อากาศครึ้มมืดมัวไปทั่วทิศ พระนางทรงพรันจิตดำริในพระทัยว่า "นี่เหตุไฉน แต่ก่อนมาไม่เคยเป็น วันนี้เห็นประหลาดนัก ชะรอยจะมีเหตุเภทภัยแก่เราหรือไม่ก็แก่สองกุมาร หรือมิฉะนั้นก็แก่พระสามี จึงหันพระพักตร์มุ่งหน้ากลับมาพระอาศรม พลันก็ทอดพระเนตรเห็นสัตว์ร้ายทั้งสามขวางอยู่ในหนทาง พอพระนางเสด็จเข้าไปใกล้ก็ลุกขึ้นสะบัดขนน่าสะพรึงกลัว ครั้นพระนางจะหลีกลัดไปทางอื่นก็ไม่ได้ เพราะข้างซ้ายมีสระ ข้างขวามีบึงกั้นไว้ มีทางเดียวที่จะไปได้ก็ที่สัตว์ทั้งสามขวางอยู่ พระนางยิ่งคิดถึงพระราชบุตรและพระสามีเป็นกำลัง ว่าป่านฉะนี้คงจะหิวโหยคอยหา ในที่สุดพระนางจึงนั่งลง ยกหัตถ์ขึ้นวันทาและตรัสว่า "ข้าแต่พญามฤคราชทั้งสาม ตูข้านี้เป็นสตรีที่ตั้งหน้าหาเลี้ยงพระสามีและราชโอรสโดยสุจริตธรรม มิได้เคยกระทำความผิดหรือประมาทแต่อย่างใดให้เสียหน้าที่เลย ขอจงเปิดหนทางให้ข้าพเจ้าเดินไปเถิด ข้าพเจ้ายินดีจะแบ่งผลไม้ที่หาได้ในวันนี้ให้แก่ท่านทั้งสามครึ่งหนึ่ง"
เทพบุตรทั้งสามแลดูเวลา พอกำหนดรู้ว่า เป็นเวลาที่ควรเปิดทางให้พระนางได้แล้ว ก็ลุกหลีกไป
คืนนั้นเป็นวันอุโบสถ พระจันทร์ทรงกลดเต็มดวงสว่างไสว พระนางรีบเสด็จมิรอช้า พอถึงบริเวณพระอาศรมก็เริ่มแปลกพระทัยที่ไม่ทรงเห็นพระราชบุตรทั้งสองดังแต่ก่อน ทั่วบริเวณดูเงียบเหงา แม้แต่เสียงนกกาก็ไม่ปรากฏให้ได้ยิน ชะรอยลูกรักของแม่จะเป็นไฉน จะตายหรือว่าใครนำไปเสียแล้วเป็นแม่นมั่น พระนางจึงรีบเสด็จตรงไปยังพระอาศรม ทรงเห็นแต่พระสามีประทับนิ่งอยู่ แต่หามีราชกุมารทั้งสองไม่ จึงทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ พระลูกรักทั้งสองหายไปไหน ใครนำไป หรือว่าวิ่งเล่นไปไกลในที่ลับ ถูกนกใหญ่จับเอาไปเป็นภักษา หรือย่างไรกัน พระเจ้าข้า?"
พระเวสสันดรไม่ตรัสตอบประการใด ทรงนิ่งเฉยอยู่ พระนางจึงทรงรำพันต่อไป "เหตุไฉนพระองค์จึงไม่ตรัสแก่หม่อมฉัน กลับทำให้หม่อมฉันยิ่งปวดร้าวใจหนักขึ้นเป็นทวี ถ้าเป็นอย่างนี้มัทรีก็เห็นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว พระเจ้าข้า"
ในที่สุด พระเวสสันดรจึงตรัสคำแสร้งทำเป็นตัดพ้อว่า "เจ้ามัทรีผู้มีรูปงาม ไฉนวันนี้จึงกลับเสียจนค่ำ ไม่ห่วงลูกห่วงผัวเสียบ้างเลย มาตกทุกข์ได้ยากอยู่ด้วยกันเท่านี้ ยังจะมาริประพฤติมิดีอีกหรือไร"
พระนางได้สดับดังนั้น ดุจสายฟ้าฟาด จึงรีบกราบทูลว่า "ขอพระองค์ทรงโปรด" แล้วก็ทรงเล่าเหตุการณ์ตามลำดับตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนท้ายจึงทูลว่า "พระองค์ได้ทรงเห็นพระกุมารทั้งสองบ้างหรือ ขอได้โปรดช่วยบอก อย่าทรงหลอกมัทรีด้วยเรื่องเช่นนี้เลย พระเจ้าข้า"
เมื่อเห็นว่าพระสามีไม่ยอมตรัสอะไร พระนางจึงถวายบังคม ลุกจากพระอาศรมเข้าไปในแนวป่า เที่ยวเสาะแสวงหาร้องเรียกไปตามเรื่อง เมื่อไม่ทรงประสบพบเห็นก็หันเสด็จกลับมาหาพระสามี เมื่อพระสามีไม่ยอมตรัสอะไร ก็รีบเสด็จออกไปอีกถึงสามครั้งสามคราว ก็พอดีราตรีสิ้นไป
พออรุณเริ่มฉายขอบฟ้า พระนางจึงเสด็จกลับมายังพระอาศรม ทรงครวญคร้ำร่ำไห้ประหนึ่งว่าดวงหฤทัยจะสลายลง ในที่สุดด้วยความเหนื่อยอ่อนเหลือกำลัง ทั้งหมดความหวังประดังกับความเมินเฉยของพระสามี พระนางมัทรีก็ถึงวิสัญญีภาพสลบลงตรงพระบาทมูลของพระสามีนั่นเอง
พระเวสสันดรตกพระทัยด้วยสำคัญว่าพระนางมัทรีสิ้นชีวิต พระกายสั่นระรัวถึงกับตรัสออกมาได้ว่า "โถ แม่มัทรีเพื่อนยาก เจ้ามาตายลงในขณะลำบากที่เป็นเวลาไม่สมควร แล้วพี่จะทำอย่างไรกัน" พลางก็เสด็จลุกจากอาสน์ ปราดเข้าไปประคองร่างของพระนางไว้ ทรงสัมผัสที่พระทรวงดูก็ทรงรู้ได้ว่ายังไม่ตาย จึงวางลงแล้วรีบนำเอาน้ำมาประพรมลงไปให้สดชื่น ประคองเศียรวางลงบนพระเพลา แล้วทรงลูบพระพักตร์และทั่วพระวรกาย พระนางสิ้นสติไปครู่ใหญ่กลับฟื้นขึ้นมาได้ พอรู้สึกพระองค์ดีก็รีบลุกขึ้นนั่งถวายบังคมทูลถามว่า "พระลูกรักทั้งสองหายไปไหน พระเจ้าข้า ?"
พระเวสสันดร "ดูก่อนมัทรีที่รัก ลูกรักทั้งสองพี่ได้ให้เป็นทานแก่พราหมณ์ชูชกไปแล้ว ขอให้พระน้องจงหักใจทำความยินดีในทานร่วมกับพี่เถิด แม้นเรามีชีวิตอยู่ก็คงจะได้ประสบกับพราหมณ์ชูชกและลูกทั้งสองของเราอีกเป็นแน่ อย่าโศกเศร้าเสียใจไปนักเลย ขึ้นชื่อว่าสัปบุรุษ เมื่อเห็นประโยชน์สูงสุดก็ควรเสียสละได้แม้ดวงหทัยของตนเองให้เป็นทาน พี่เองปรารถนาพระโพธิญาณในภายหน้า จึงได้ให้ลูกรักเป็นทานไป น้องเองก็ย่อมมีส่วนใหญ่ในการเสียสละนี้ด้วยเหมือนกัน ขอจงทำใจให้เบิกบานอนุโมทนากับพี่ในครั้งนี้ด้วยเถิด"
พระนางมัทรีได้สดับดังนั้น ความอัดอั้นตันพระทัยก็คลายลง เมื่อทรงระลึกไปในผลประโยชน์ที่สามีปรารถนา ก็เห็นว่าภรรยาควรส่งเสริมด้วยความจริงใจ จึงกลับทำพระทัยให้เป็นปรกติ แล้วก็ค่อย ๆ ยินดีและอนุโมทนา แต่ก็ยังอดค่อนขอดไม่ได้ว่า "โอ น่าอัศจรรย์ พระองค์สามารถตัดใจยกปิยบุตรสุดที่รักให้เป็นทานแก่พราหมณ์ได้"
"ไฉนจึงกล่าวอย่างนั้น แม่มัทรี" พระองค์ตรัส "ถ้าพี่ไม่ยกให้ด้วยใจเสียสละจริงแล้ว เหตุอัศจรรย์ก็จะไม่บังเกิดมี" และพระองค์ก็ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนถึงพรหมโลกให้ทรงฟัง พระนางก็ค่อยแจ่มแจ้งในพระหฤทัย คลายความโศกอาลัยเสียสิ้น และอนุโมทนาในมหาทานบริจาคของพระสามีด้วยใจจริง
เมื่อเห็นว่าพระสามีไม่ยอมตรัสอะไร พระนางจึงถวายบังคม ลุกจากพระอาศรมเข้าไปในแนวป่า เที่ยวเสาะแสวงหาร้องเรียกไปตามเรื่อง เมื่อไม่ทรงประสบพบเห็นก็หันเสด็จกลับมาหาพระสามี เมื่อพระสามีไม่ยอมตรัสอะไร ก็รีบเสด็จออกไปอีกถึงสามครั้งสามคราว ก็พอดีราตรีสิ้นไป
พออรุณเริ่มฉายขอบฟ้า พระนางจึงเสด็จกลับมายังพระอาศรม ทรงครวญคร้ำร่ำไห้ประหนึ่งว่าดวงหฤทัยจะสลายลง ในที่สุดด้วยความเหนื่อยอ่อนเหลือกำลัง ทั้งหมดความหวังประดังกับความเมินเฉยของพระสามี พระนางมัทรีก็ถึงวิสัญญีภาพสลบลงตรงพระบาทมูลของพระสามีนั่นเอง
พระเวสสันดรตกพระทัยด้วยสำคัญว่าพระนางมัทรีสิ้นชีวิต พระกายสั่นระรัวถึงกับตรัสออกมาได้ว่า "โถ แม่มัทรีเพื่อนยาก เจ้ามาตายลงในขณะลำบากที่เป็นเวลาไม่สมควร แล้วพี่จะทำอย่างไรกัน" พลางก็เสด็จลุกจากอาสน์ ปราดเข้าไปประคองร่างของพระนางไว้ ทรงสัมผัสที่พระทรวงดูก็ทรงรู้ได้ว่ายังไม่ตาย จึงวางลงแล้วรีบนำเอาน้ำมาประพรมลงไปให้สดชื่น ประคองเศียรวางลงบนพระเพลา แล้วทรงลูบพระพักตร์และทั่วพระวรกาย พระนางสิ้นสติไปครู่ใหญ่กลับฟื้นขึ้นมาได้ พอรู้สึกพระองค์ดีก็รีบลุกขึ้นนั่งถวายบังคมทูลถามว่า "พระลูกรักทั้งสองหายไปไหน พระเจ้าข้า ?"
พระเวสสันดร "ดูก่อนมัทรีที่รัก ลูกรักทั้งสองพี่ได้ให้เป็นทานแก่พราหมณ์ชูชกไปแล้ว ขอให้พระน้องจงหักใจทำความยินดีในทานร่วมกับพี่เถิด แม้นเรามีชีวิตอยู่ก็คงจะได้ประสบกับพราหมณ์ชูชกและลูกทั้งสองของเราอีกเป็นแน่ อย่าโศกเศร้าเสียใจไปนักเลย ขึ้นชื่อว่าสัปบุรุษ เมื่อเห็นประโยชน์สูงสุดก็ควรเสียสละได้แม้ดวงหทัยของตนเองให้เป็นทาน พี่เองปรารถนาพระโพธิญาณในภายหน้า จึงได้ให้ลูกรักเป็นทานไป น้องเองก็ย่อมมีส่วนใหญ่ในการเสียสละนี้ด้วยเหมือนกัน ขอจงทำใจให้เบิกบานอนุโมทนากับพี่ในครั้งนี้ด้วยเถิด"
พระนางมัทรีได้สดับดังนั้น ความอัดอั้นตันพระทัยก็คลายลง เมื่อทรงระลึกไปในผลประโยชน์ที่สามีปรารถนา ก็เห็นว่าภรรยาควรส่งเสริมด้วยความจริงใจ จึงกลับทำพระทัยให้เป็นปรกติ แล้วก็ค่อย ๆ ยินดีและอนุโมทนา แต่ก็ยังอดค่อนขอดไม่ได้ว่า "โอ น่าอัศจรรย์ พระองค์สามารถตัดใจยกปิยบุตรสุดที่รักให้เป็นทานแก่พราหมณ์ได้"
"ไฉนจึงกล่าวอย่างนั้น แม่มัทรี" พระองค์ตรัส "ถ้าพี่ไม่ยกให้ด้วยใจเสียสละจริงแล้ว เหตุอัศจรรย์ก็จะไม่บังเกิดมี" และพระองค์ก็ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนถึงพรหมโลกให้ทรงฟัง พระนางก็ค่อยแจ่มแจ้งในพระหฤทัย คลายความโศกอาลัยเสียสิ้น และอนุโมทนาในมหาทานบริจาคของพระสามีด้วยใจจริง
...............................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น