๕. ชูชก
ขณะที่กษัตริย์ทั้ง ๔ ประทับอยู่ในเขาวงกตเรียบร้อยแล้ว ยังมีพราหมณ์คนหนึ่ง ชื่อว่า "ชูชก" อยู่ในแคว้นกาลิครัฐ ตำบลทุนนวิฏฐ์เลี้ยงชีพด้วยการขอทาน รวบรวมทรัพย์ไว้ได้ประมาณ ๑๐๐ กษาปณ์ จึงนำไปฝากไว้กับเพื่อนพราหมณ์ผู้หนึ่ง แล้วก็เที่ยวภิกขาจารไปตามวิสัย เมื่อชูชกหายไปนานเข้า เพื่อนพราหมณ์ผู้นั้นจึงเอาทรัพย์มาใช้จ่ายจนหมดสิ้น ภายหลังชูชกกลับมาทวงคืนก็หาให้ไม่ทัน จึงยกลูกสาวชื่อ "อมิตดา" ให้ ตาแก่จึงพานางอมิตดาไปอยู่ยังบ้านของตน
นางอมิตดาเป็นเด็กที่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาดี จึงปฏิบัติสามีได้ถูกต้องน่าพอใจ พวกพราหมณ์หนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านนั้นเห็นเข้า ก็รู้สึกริษยา พากันดุด่าภรรยาของตน ๆ ว่า "เห็นไหมว่า นางอมิตดาเขาปรนนิบัติพราหมณ์ชราด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดี ทำไมเจ้านี้จึงประมาทเรา ไม่เอาใจใส่ให้ความสุขเหมือนกับเขา"
วันหนึ่ง ขณะที่นางอมิตดาไปตักน้ำ ภรรยาพวกพราหมณ์เหล่านั้นพากันโกรธแค้น ร่วมใจกันจะกำจัด
นางอมิตดาให้ไปเสียจากหมู่บ้านนั้น จึงพากันไปที่ท่าน้ำ ประชุมกันรุมด่าเป็นการใหญ่ว่า "นางตัวดี อีคนสวย ดูเจ้าก็ยังเป็นสาวรุ่นอรุณี ไฉนจึงได้สามีแก่ถึงปานนี้ บิดามารดาและญาติมิตรของเจ้าพากันงุบงิบยกเจ้าให้แก่พราหมณ์เฒ่าละซี อนิจจา เป็นการขาดเมตตาปรานีเสียจริงหนอ น่าอัปยศอดสูใจเหลือเกิน อยู่ร่วมกับผัวแก่ก็เป็นการขมขื่นน่าคลื่นไส้ ตายเสียดีกว่า ถูงูกัดก็ยังดี ถูกหอกแทงก็ยังดี มิได้มีความเจ็บปวดเหมือนนอนนวดอยู่กับอีตาแก่แร้งทึ้ง อนาถใจอะไรเช่นนี้ จะหยอกล้อเล่นหัวอะไรแต่ละที มันจะมีรสสชาติอะไรกันนะแม่คุณ ส่วนผัวหนุ่มเมียสาวนะ เขาหยอกล้อกันแต่ละทีในที่ลับ ความโศเศร้าที่เร้ารุมใจอยู่ ก็พลันระงับเสื่อมคลายหายไปยังกะปลิดทิ้ง เจ้าหรือก็ยังเป็นสาวสวยรูปงามออกโสภา จะหาผัวหนุ่มรูปหล่อรุ่นราวคราวเดียวกันก็จะได้ถมไป ไฉนจึงมาทนอยู่ได้ ไปเสียเจ้า อีตาพราหมณ์เฒ่ามันจะทำเจ้าให้เริงรสโลกีย์ได้อย่างไรกัน อนิจจ น่าอนาถ หนุ่มฉกรรจ์นั่นแหละเจ้า จะให้หล่อนรื่นรมย์ได้"
นางอมิตดาไม่สามารถทนฟังคำบริภาษนั้นได้ ฉวยหม้อน้ำได้ก็เดินร้องไห้กลับบ้าน ตาชูชกเห็นเข้าเช่นนั้นก็ลนลานรีบออกมา รีบถามอย่างละล่ำละลักว่า "อะไรกันนะแม่อมิตดา ร้องไห้ทำไมกันละเจ้า ?"
นางอมิตดา "ท่านพราหมณ์ ต่อนี้ไปข้าจะไปตักน้ำที่ท่าน้ำให้ท่านไม่ได้แล้ว เพราะอีชาวบ้านมันรุมด่าข้า ก็ด้วยเหตุข้อเดียวแหละที่ท่านเป็นคนแก่"
ชูชกตกใจกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปอีกละ ฉันจะไปตักเอง อย่าเสียอกเสียใจไปเลยแม่คุณ"
นางอมิตดา "ข้าจะให้ผัวไปตักน้ำไม่ได้ดอก ถ้าท่านไปตักน้ำเอง ข้าก็อยู่ในเรือนท่านต่อไปไม่ได้ ถ้าจะให้อยู่ก็ต้องไปหาคนใช้มาให้ข้า มิฉะนั้นข้าจะไม่อยู่เด็ดขาด"
ชูชก "โอแม่คุณ ฉันจะเอาทรัพย์สมบัติอะไรไปหาคนใช้มาได้ เอาเถอะ ฉันจะปรนนิบัติเธอเอง อย่าเดือดดาลไปเลย"
เทวดาจึงดลใจให้นางอมิตดาพูดแนะไปว่า "ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกให้ไปหาพระเวสสันดรสิ เวลานี้อยู่ที่เขาวงกตโน่นแน่ะ ท่านมีลูกหญิงลูกชายอยู่สองคน ไปขอท่านมาสิ เราจะได้เด็กสองคนนั้นมาเป็นคนใช้ โดยไม่ต้องเสียค่าจ้างอย่างไรละ"
ชูชกร้องว่า "โอแม่อมิตดา ฉันหรือก็แก่ชราร่างกายไม่สมประกอบ จะหิ้วหอบร่างร้ายไปเขาวงกตได้อย่างไร อย่าพูดเหลวไหลไปเลยแม่คุณ เอาเถอะ ฉันจะปรนนิบัติเธอเอง"
นางอมิตดาจึงกล่าวเป็นคำขาดว่า "คนขี้ขลาด ยังไม่ได้ไปถึงสนามรบ ยังไม่ทันรบก็ยอมแพ้ อะไร้ ยังไม่ทันไปก็ยอมจำนน จงรู้ไว้เถอะ ข้าจะไม่ยอมอยู่กับท่านอีกละ ข้าจะทำตามใจชอบละคราวนี้ เมื่อถึงคราวมีงานนักขัตฤกษ์ ข้าจะแต่งตัวเดินคลอเคลียกับชายอื่นให้ชื่นมื่นไปเลย แล้วท่านก็จะต้องทนทุกข์ไปเอง ร่างกายที่งออยู่แล้วก็จะงอโก่งมากขึ้น ผมที่หงอกอยู่แล้วก็จะหงอกมากขึ้น เอาละ จะได้เห็นดีกันละคราวนี้"
ชูชกได้ฟังดังนั้นก็ตกใจไปตามวิสัยคนแก่ที่หลงเมียสาว เหงื่อกาฬแตกตัวสั่นอยู่งันงก ร้องขึ้นว่า โอย แม่คุณ อย่าทำอย่างนั้นเลย ถ้าเธอไปชื่นมื่นกับชายอื่นละก้อ ฉันคงจะดับจิตชีวิตออกจากร่างไปเลย ถ้ากระนั้นก็เร็วเข้าเถอะแม่อมิตดาเอ๋ย จงจัดเสบียงเดินทางเข้าสิ อย่าชักช้า เห็นท่าจะไม่ได้การ ขนมแดกงา ขนมอ้อย ขนมผึ้ง ทั้งสัตตูก้อนสัตตูผง และข้าวผอก จงจัดให้ดี ๆ นะแม่นะ ฉันจะไปนำเอาพี่น้องสองกุมารมาเป็นทาสเธอให้เร็วที่สุด"
ขณะที่นางอมิตดาสาละวนอยู่กับการจัดเสบียงเดินทาง ตาชูชกแกก็จัดแจงดูแลบ้านเรือน ซ่อมแซมที่ชำรุดทรุดโทรม ตลอดหมดทั้งประตูหน้าต่างทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน เก็บฟืนมาจากป่า ตักน้ำมาใส่ตุ่มจนเต็มหมด แล้วก็แต่งเพศเป็นดาบส และสั่งภรรยาว่า "นี่แน่แม่อมิตดา นับแต่นี้ไป ในเวลาค่ำ แม่อย่าออกจากบ้าน รักษาตัวไว้ให้ดี ไว้คอยท่าพี่จนกว่าจะกลับมา" ว่าแล้วก็สวมรองเท้า สะพายกระสอบบรรจุเสบียงกรัง กระทำประทักษิณภรรยา มีหน่วยตานองด้วยน้ำอัสสุชล ก้มหน้าเดินร้องไห้ออกจากเรือนไป บ่ายหน้าตรงไปยังนครสีพี
พอถึงพระนคร เห็นคนชุมนุมกันอยู่ที่ไหนก็เข้าไปถามเขาที่นั่น ว่าพระเวสสันดรนั้นอยู่ที่ไหน ประชาชนเห็นเข้าจึงร้องว่า "หนอยแน่ อีตาแก่ร่างร้าย ยังจะมีหน้ามาถามอีกหรือว่าพระเวสสันดรอยู่ที่ไหน ท่านถูกเนรเทศขับไล่ไปลำบากอยู่ที่เขาวงกต ก็เพราะพวกแกนี่แหละ คิดคดเที่ยวขอเสียจนไม่ดูหน้า พวกแก่นี่แหละที่ทำให้เจ้านายของเราต้องมีอันเป็นไป ยังจะมายืนให้เห็นอยู่อีกหรือนี่" ว่าแล้วก็คว้าก้อนดินท่อนไม้ไล่ติดตามชูชกไปอยู่เกรียวกราว
ตาชูชกพาร่างร้ายของแก่หนีกระเจิดกระเจิงไป แต่เทวดาดลใจให้แกพลัดเข้าไปในทางที่จะไปยังเขาวงกตพอดี พอพ้นเขตอันตรายที่ถูกไล่ตีมาได้ ก็เจอเข้ากับสุนัขไล่เนื้อหลายตัว มันพากันเข้ารุมเห่าเสียงออกลั่นป่านัยว่าเป็นสุนัขของพรานเจตบุตรผู้ระวังไพร ซึ่งมีหน้าที่รักษาทางที่จะเข้าไปยังเขาวงกต ตาชูชกต้องเผ่นหนีขึ้นไปบนต้นไม้ ขึ้นไปนั่งตัวสั่นอยู่บนค่าคบ พวกสุนัขก็เข้าห้อมล้อมอยู่รอบโคนต้นไม้นั้น
ตาชูชกเห็นภัยใหญ่อยู่รอบตัวและไม่มีทางหนีไปได้ จึงได้แต่รำพันว่า "โอ ข้าแต่พระเวสสันดร ขอจงเป็นที่พึ่งของเราด้วยเถิด มีใครที่ไหนบ้าง ที่รู้หนทางที่จะไปหาพระเวสสันดร ช่วยบอกเราเอาบุญด้วยเถิด เจ้าข้า"
ฝ่ายพรานเจตบุตรผู้มีหน้าที่รักษาประตูป่า ติดตามเสียงสุนัขมาจนใกล้ ก็ได้ยินเสียงรำพันของชูชกเข้า จึงคิดว่า เจ้านี่มีเจตนาร้ายมาถึงนี่ คงจะตามไปขอนางมัทรีหรือไม่ก็กุมารทั้งสองเป็นแน่ เราควรจะฆ่ามันเสียให้ตาย คิดแล้วก็ยกธนูขึ้นน้าว พร้อมกับตะคอกขู่ไปว่า "เหม่ อ้ายพราหมณ์จัญไร กูจะไม่ไว้ชีวิตมึงละคราวนี้"
"ช้า ช้า ฟังข้าก่อน" ชูชกร้องลั่นเสียงหลง "ท่านพรานไพรอย่าใจเร็ว ด่วนได้ทำลายประโยชน์เสีย ลาภใหญ่มาถึงท่านแล้วไซร้ ไฉนจะทำลายเสียเล่า ลดธนูของเจ้าเก็บเข้าที่เสียก่อนเถิด เรานี้มาดีมิได้มีเจตนาร้าย เราเป็นราชทูตมาจากนครสีพี พระเจ้าสญชัยให้ไปเฝ้าทูลเชิญพระเวสสันดรกลับเมือง เพราะว่าพระมารดาของท่านนั้นทรงกรรแสงเสียจนพระเนตรทรุดโทรมใกล้จะเสียแล้วในไม่ช้า ชาวประชาจึงส่งข้ามาเป็นทูต ตามธรรมดาราชทูตนั้นย่อมได้รับอภัยอันใคร ๆ ก็ไม่ควรฆ่า นี่เป็นธรรมเนียมสืบมาแต่โบราณ ท่านจงฟังข้าเถิดหนา เจ้าเจตบุตร ข้าจักเชิญพระราชบุตรเสด็จกลับ ถ้าเจ้ารู้ทางก็จงแจ้งให้ข้าทราบเถิด" (ขณะที่ร้องนั้น พลางแกก็ชูกลักพริกกลักขิงขวักไขว่ไปมา นัยว่าพรานเจตบุตรเข้าใจว่า นั่นคือกล่องบรรจุพระราชสาสน์)
เจตบุตรได้ยินดังนั้นก็หลงเชื่อ จัดแจงผูกสุนัขไว้แล้วเชิญให้ตาชูชกลงมา หักกิ่งไม้มาปูเป็นอาสนะแล้วเชิญให้นั่ง จัดอาหารเลี้ยงดูเป็นอย่างดี พลางก็กล่าวคำปฏิสันถารว่า "ท่านพราหมณ์ผู้เป็นทูตที่รัก ท่านเป็นทูตของพระหน่อกษัตริย์ผู้เป็นที่รักของข้า นี่เต้าบรรจุน้ำผึ้งเต็ม นี่ขาเนื้อทรายย่างข้าขอให้เป็นของกำนัลแก่ท่าน และยินดีจะชี้แจงถึงตำแหน่งที่ประทับของพระหน่อกษัตริย์เวสสันดรนั้นให้ท่านทราบอย่างดีทีเดียว"
ตาชูชกเห็นภัยใหญ่อยู่รอบตัวและไม่มีทางหนีไปได้ จึงได้แต่รำพันว่า "โอ ข้าแต่พระเวสสันดร ขอจงเป็นที่พึ่งของเราด้วยเถิด มีใครที่ไหนบ้าง ที่รู้หนทางที่จะไปหาพระเวสสันดร ช่วยบอกเราเอาบุญด้วยเถิด เจ้าข้า"
ฝ่ายพรานเจตบุตรผู้มีหน้าที่รักษาประตูป่า ติดตามเสียงสุนัขมาจนใกล้ ก็ได้ยินเสียงรำพันของชูชกเข้า จึงคิดว่า เจ้านี่มีเจตนาร้ายมาถึงนี่ คงจะตามไปขอนางมัทรีหรือไม่ก็กุมารทั้งสองเป็นแน่ เราควรจะฆ่ามันเสียให้ตาย คิดแล้วก็ยกธนูขึ้นน้าว พร้อมกับตะคอกขู่ไปว่า "เหม่ อ้ายพราหมณ์จัญไร กูจะไม่ไว้ชีวิตมึงละคราวนี้"
"ช้า ช้า ฟังข้าก่อน" ชูชกร้องลั่นเสียงหลง "ท่านพรานไพรอย่าใจเร็ว ด่วนได้ทำลายประโยชน์เสีย ลาภใหญ่มาถึงท่านแล้วไซร้ ไฉนจะทำลายเสียเล่า ลดธนูของเจ้าเก็บเข้าที่เสียก่อนเถิด เรานี้มาดีมิได้มีเจตนาร้าย เราเป็นราชทูตมาจากนครสีพี พระเจ้าสญชัยให้ไปเฝ้าทูลเชิญพระเวสสันดรกลับเมือง เพราะว่าพระมารดาของท่านนั้นทรงกรรแสงเสียจนพระเนตรทรุดโทรมใกล้จะเสียแล้วในไม่ช้า ชาวประชาจึงส่งข้ามาเป็นทูต ตามธรรมดาราชทูตนั้นย่อมได้รับอภัยอันใคร ๆ ก็ไม่ควรฆ่า นี่เป็นธรรมเนียมสืบมาแต่โบราณ ท่านจงฟังข้าเถิดหนา เจ้าเจตบุตร ข้าจักเชิญพระราชบุตรเสด็จกลับ ถ้าเจ้ารู้ทางก็จงแจ้งให้ข้าทราบเถิด" (ขณะที่ร้องนั้น พลางแกก็ชูกลักพริกกลักขิงขวักไขว่ไปมา นัยว่าพรานเจตบุตรเข้าใจว่า นั่นคือกล่องบรรจุพระราชสาสน์)
เจตบุตรได้ยินดังนั้นก็หลงเชื่อ จัดแจงผูกสุนัขไว้แล้วเชิญให้ตาชูชกลงมา หักกิ่งไม้มาปูเป็นอาสนะแล้วเชิญให้นั่ง จัดอาหารเลี้ยงดูเป็นอย่างดี พลางก็กล่าวคำปฏิสันถารว่า "ท่านพราหมณ์ผู้เป็นทูตที่รัก ท่านเป็นทูตของพระหน่อกษัตริย์ผู้เป็นที่รักของข้า นี่เต้าบรรจุน้ำผึ้งเต็ม นี่ขาเนื้อทรายย่างข้าขอให้เป็นของกำนัลแก่ท่าน และยินดีจะชี้แจงถึงตำแหน่งที่ประทับของพระหน่อกษัตริย์เวสสันดรนั้นให้ท่านทราบอย่างดีทีเดียว"
..............................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น