๑๓. นครกัณฑ์
ครั้นพระเวสสันดรได้ทรงสดับคำของเหล่าประชาราษฏร์ทูลอาราธนาให้ทรงลาผนวช เสด็จครองราชสมบบัติดังนั้น จึงทูลถามพระราชบิดาว่า "ข้าพระบาทได้ทรงครองราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรม ไฉนฝ่าพระบาทและชาวนครสีพี จึงพร้อมใจกันเนรเทศข้าพระบาทเสียจากราชอาณาเขตเล่า ?"
พระเจ้าสญชัย "ลูกรัก การที่พ่อเชื่อคำชาวสีพีให้ขับไล่ลูกผู้หาความผิดมิได้เช่นนี้ เป็นการที่พ่อได้กระทำรุนแรงเกินไป นับเป็นความผิดของพ่อ ชึ้นชื่อว่าบุตรผู้มีกตัญญูกตเวทีควรที่จะยอมสละชีวิต ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์โศกของบิดามารดาและพี่น้องได้ เพราะฉะนั้น ลูกไม่ควรถือโทษพ่อ จงทำตามคำพ่อ ลาผนวชจากเพศฤษีกลับเป็นกษัตริย์ตามเดิมเถิด"
เมื่อพระราชบิดาตรัสอยู่อย่างนี้เป็นครั้งที่สอง พระเวสสันดรจึงทรงรับคำ แล้วเสด็จเข้าในบรรณศาลา ทรงเปลื้องเครื่องดาบสบริขารออกเก็บไว้ แล้วทรงผ้าขาวผ่องใสดุจสีสังข์ เสด็จออกนอกบรรณศาลา ทรงดำริว่า สถานที่นี้เราบำเพ็ญสมณธรรมมาได้ ๙ เดือน ๑๕ วัน เป็นที่เรายึดยอดพระบารมีบำเพ็ญทานจนเกิดแผ่นดินไหว จึงทรงทำประทักษิณดำเนินเวียนพระบรรณศาลาสามรอบ แล้วหยุดประทับที่หน้ามุข ถวายนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์
ครั้นแล้ว เจ้าพนักงานภูษามาลา ก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของตน เช่น เจริญพระเกษาและพระมัสสุเป็นต้นตามควรแก่ราชกิจ แล้วก็พร้อมกันถวายอภิเษกให้ขึ้นครองราชสมบัติในพระนครสีพีสืบต่อไป และโดยนัยเดียววกันนี้เจ้าพนักงานฝ่ายหญิงก็ได้ถวายการปฏิบัติแก่พระนางเจ้ามัทรีตามราชพิธีดุจกัน
สมเด็จพระเวสสันดรบรมราชา พระองค์ทรงระลึกย้อนถึงชีวตผจญความลำบากกับพระนางมัทรีมาในป่าใหญ่ จึงให้ประกาศทั่วไปว่าให้ประชาชนทุกคนที่มาอยู่ในบริเวณเขาวงกตนี้มีการมหรสพรื่นเริงกันให้เต็มที่
ส่วนพระนางมัทรี ไม่มีอะไรจะเป็นที่ทรงพระปรีดาปราโมทย์เท่ากับได้ประสบพบลูกรักทั้งสองพระองค์ จึงตรัสว่า "ลูกรักทั้งสอง เมื่อพราหมณ์พาลูกไปแล้ว แม่ก็ได้แต่ตั้งใจปรารถนาว่าอยากจะพบลูกทั้งสองอีก จึงตั้งใจบำเพ็ญวัตจริยา คือบริโภคอาหารวันละหนเดียว นอนบนแผ่นดินเป็นนิจ ก็ได้ประสิทธิสมประสงค์ในวันนี้เอง ขออำนาจบุญบารมีของแม่จงคุ้มครองลูก และขอให้สมเด็จพระเจ้าปู่พระเจ้าย่าจงปรานีชุบเลี้ยง บุญกุศลอันใดของแม่ก็ดี ของพ่อก็ดี ที่มีอยู่ จงส่งผลดลบันดาลให้ลูกจงอย่ารู้เจ็บ อย่ารู้ไข้ จงมีพระชนมายุยืนนานเถิด"
สมเด็จพระเวสสันดรและพระนางมัทรีบรมราชินีนาถ ก็ได้เสด็จสู่ค่ายหลวงที่ประทับแห่งสมเด็จพระบรมชนกาธิราช ด้วยพระราชอิสริยยศใหญ่ ด้วยประการฉะนี้
ต่อจากนั้นกษัตริย์ทั้งหมด พร้อมด้วยราชบริพารจำนวนใหญ่ก็เสด็จเที่ยวชมภูเขาลำเนาไม้เป็นที่สำราญพระราชหฤทัยประมาณเดือนหนึ่ง และด้วยเดชะพระเมตตาแห่งพระมหาเวสสันดรบันดาลให้เหล่าสัตว์ร้ายทั้งหลายในป่า อยู่อย่างสงบระงับ ไม่ข่มเหงเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ต่างก็มาประชุมกันเป็นอันเดียว แล้วก็แสดงความอาลัยโศการ่ำไห้ด้วยความเสียดายที่พระองค์จะต้องเสด็จจากไป
ครั้นได้เวลาสมควรที่จะนำขบวนกลับได้แล้ว ขบวนทัพที่ต้อนรับสมเด็จพระเวสสันดรก็เคลื่อนออกจากเขาวงกต มาตามทางที่จัดทำไว้สิ้นระย ๖๐ โยชน์ ก็บรรลุถึงพระนครเชตุดร พอสมเด็จพระเวสสันดรทรงระลึกถึงยาจก พระอินทรีก็บันดาลให้ฝนตกลงมาเป็นรัตนมณีของมีค่าเหลือคณานับ ก็เป็นอันสมกับพรที่ทรงขอไว้ตามที่กล่าวมานั้นทุกประการ พระองค์จึงออกประกาศว่า ฝนนี้ตกลงบ้านของผู้ใด ผู้นั้นก็จงมีสิทธิ์เป็นเจ้าของเถิด ส่วนที่เหลือก็ให้เก็บเข้าไว้ในท้องพระคลังเป็นสมบัติหลวงสืบต่อไป
เรื่องนี้เก็บความจากเสสันดรชาดก คติธรมที่ได้จากเรื่องนี้ คือ เมตตา การเสียสละ
...............................
จาก....หนังสือทศชาดชาดก (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก สนธิรักษ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น