๘. กุมาร
ตาเฒ่าชูชกมุ่งหน้าดุ่มเดินไปตามทางที่พระอัจจุตฤษีบอก ด้วยความหวังตั้งใจมั่นที่จะได้สองกุมารใช้เป็นทาส จนตราบเท่าถึงขอบสระโบกขรณีสี่เหลี่ยมจตุรัสริมบริเวณพระอาศรม ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้ค่ำ แกจึงหยุดคิดขึ้นได้ว่า วันนี้เย็นมากแล้ว พระนางมัทรีคงกลับจากป่ามาถึงที่อยู่เรียบร้อยแล้ว เราอย่าด่วนเข้าไปเลย เพราะว่าธรรมดาสตรีย่อมมีนิสัยตระหนี่เหนียวแน่น และมักขัดขวางการบริจาคทาน อย่ากระนั้นเลย วันพรุ่งนี้เมื่อพระนางมัทรีเข้าป่าหาผลไม้ เราจึงจะเข้าไปเฝ้าพระเวสสันดรทูลขอสองกุมาร แล้วก็ฉวยโอกาสพาสองกุมารหนี ด้วยอุบายอย่างนี้จึงจะสำเร็จสมปรารถนา
ในคืนนั้น พระนางมัทรีทรงสุบินว่า มีบุรุษดำ กำยำร่างใหญ่ นุ่งผ้ากาสาวพัสตร์ ทัดดอกไม้แดง ถือดาบ บุกรุกเข้ามาในบรรณศาลา จับพระนางที่ชฎา แล้วฉุดกระชากลากออกมา ผลักพระนางให้ล้มหงายบนแผ่นดิน แล้วก็ควักเอาพระเนตรทั้งสองข้าง ตัดเอาพระพาหาทั้งขวาซ้าย และผ่าพระอุระล้วงเอาดวงหทัยไป พระนางสะดุ้งพระทัยผวาตื่น พระวรกายสั่นด้วยฝันร้าย จึงรีบเสด็จไปหาพระเวสสันดรเพื่อทูลขอให้ช่วยทำนาย พอเสด็จถึงจึงทรงเคาะประตูทั้ง ๆ ที่ยังไม่สว่าง
พระเวสสันดรจึงตรัสถาม "ฬครกันนั่น มาเคาะประตูทำไมในยามดึกดื่น ?
พระนางมัทรี "กระหม่อมฉันมัทรี พระเจ้าข้า"
พระเวสสันดร "เอ๊ะ นี่เธอลืมกติกาสัญญาเสียแล้วหรือ ว่าเราจะไม่ไปมาหาสู่กันในเวลามืดค่ำ ไฉนจึงได้มาหาเราในเวลาอันไม่สมควรเช่นนี้"
พระนางมัทรี "หม่อมฉันฝันร้ายเหลือเกิน พระเจ้าข้า"
พระเวสสันดร "ถ้ากระนั้นก็จงอยู่ข้างนอก แล้วบอกมาให้แจ่มแจ้งเถิดว่า ฝันร้ายเป็นประการใด ?"
พระนางจึงทูลบรรยายฝันร้ายให้ทรงฟังทั้งที่ยังประทับอยู่นอกพระกุฎี
พระเวสสันดรได้สดับแล้วก็ทรงดำริว่า "เราจะได้บำเพ็ญทานบารมี พรุ่งนี้จะมียาจกมาขอสองกุมาร เราจะปลอบมัทรีให้หายกลัวแล้วกลับไป" แล้วจึงตรัสว่า "ดูก่อนแม่มัทรีที่รัก เธอฝันร้ายเพราะธาตุพิการ เธอเหนื่อยอ่อนนอนไม่สำราญจึงเป็นไป อย่ากลัวเลยเรื่องที่ฝัน สงบอกสงบใจแล้วกลับไปกุฎีเสียเถิด"
พอราตรีสว่างแจ้ง พระนางมัทรีก็ทรงจัดแจงทำกิจวัตรทุกอย่างเสร็จหมด แล้วก็ทรงสวมกอดพระราชโอรสและโลมลูบจูบกระหม่อมด้วยความรัก พลางก็ทรงประทานพระโอวาทว่า "แม่จะเข้าป่าหาผลไม้นะลูกรัก ระวังเนื้อระวังตัวอย่าประมาท เมื่อคืนแม่ฝันร้ายยิ่งนักจักมีภัย อย่าพากันไปเล่นให้ไกลพระอาศรมนะลูกนะ" ครั้นแล้วก็ทรงพาไปเฝ้าพระราชสามีทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์จงอย่าประมาทอาจมีภัยแก่ลูกรัก หม่อมฉันวิตกนักว่าจะมีภัย ขอได้โปรดกรุณาประทานความปลอดภัยด้วยเถิด" เมื่อตรัสฝากฝังดังนี้แล้ว ก็ทรงหิ้วกระเช้าและถือเสียม พระเนตรเปี่ยมด้วยอัสสุชลธาราเสด็จเข้าป่าหาเผือกมันตามแนวไพร
ฝ่ายตาชูชกแก่นึกคะเนดูว่า พระนางมัทรีคงจะเสด็จเข้าป่าไปแล้ว แกก็รีบออกจากที่พักมุ่งหน้าตรงไปยังอาศรมของพระเวสสันดร ซึ่งขณะนั้นพระองค์กำลังเสด็จประทับนั่งอยู่บนแผ่นศิลาพร้อมด้วยพระกุมารทั้งสอง พอพระองค์ทอดพระเนตรเห็นชูชกเดินเข้ามาก็ทรงทราบได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่จะได้บำเพ็ญทานบารมีที่ประสงค์ ทรงมีพระหฤทัยเบิกบานและตรัสว่า "พราหมณ์เอ๋ย เชิญท่านเข้ามาเถิด" แล้วหันไปตรัสกับพระชาลีกุมารว่า "พ่อชาลีลูกรัก โน่นดูเหมือนมีคนเดินมา ลักษณะท่าทางเหมือนพราหมณ์ พอรู้สึกดีใจ ลูกจงต้อนรับให้แกเข้ามาเถิด"
พระชาลีกุมาร "กระหม่อมฉันก็แลเห็นเหมือนกับเป็นพราหมณ์ ดูเหมือนแกมีความต้องการจะมาขออะไรสักอย่างหนึ่งแน่ แก่เป็นแขกของเราแล้ว ลูกจะออกไปต้อนรับ"
ตาชูชกเห็นพระชาลีวิ่งมา ก็เดาเอาว่า นี่แหละคือราชโอรสของพระเวสสันดร ควรที่เราจะข่มขู่ให้รู้จักกลัวเกรงเราเสียก่อนจะได้ไม่ลำบากในภายหลัง พอกุมารเอ่ยคำต้อนรับว่า "พ่อพราหมณ์ส่งย่ามส่งบริขารมาเถอะ หนูจะช่วยรับ" แกก็ขู่สำทับด้วยผรุสวาจาว่า "เหม่ อ้ายเด็กน้อย หลีกไป หลีกไป" พระกุมารได้สดับดังนั้นก็รู้สึกว่า "อีตานี่ช่างหยาบคายเสียจริง ๆ รูปร่างหรือก็อัปลักษณ์เต็มไปด้วยบุรุษโทษทุกประการ" พลันตาแกก็เข้าถึงหน้าพระที่นั่งของพระเวสสันดร แล้วกล่าวคำเป็นสัมโมทนียกถาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ พระองค์ทรงเกษมสำราญดีอยู่หรือ พระเจ้าข้า ?"
พระเวสสันดร "ดูก่อนพราหมณ์ เรามีความสุขสบายดี ไม่มีโรคภัยอันตรายใด ๆ รบกวน เชิญท่านเข้ามาในอาศรมของเราเถิด เราขอต้อนรับท่านด้วยความยินดี ผลไม้ต่าง ๆ ทั้งน้ำผึ้งรสหวานของเรามีบริบูรณ์ เชิญท่านบริโภคตามปรารถนาเถิด ตั้งแต่เรามาอยู่ป่านี้ยังไม่มีผู้ใดมาถึงที่อยู่ของเราเลย ท่านมีธุระประสงค์สิ่งใดหรือ จึงมาเป็นแขกคนแรกของเรา ?"
ชูชก "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระมหากรุณา กระหม่อมฉันมาก็เพื่อจะทูลขอพระกุมาทั้งสอง ขอพระองค์ได้ทรงประทานแก่หม่อมฉันด้วยเถิด พระเจ้าข้า"
พระเวสสันดร "ดูก่อนพราหมณ์เอ๋ย เรื่องการบริจาคทานแล้วเรามิได้หวั่นไหวเลย เอาเถอะ เรายอมยกให้ แต่ว่าขณะนี้พระนางมัทรีผู้เป็นมารดายังหาผลไม้อยู่ในป่า กว่าจะกลับมาก็คงเป็นเวลาเย็น เชิญท่านพักกับเราสักราตรีหนึ่งก่อนเถิด เพื่อว่ากุมารทั้งสองจะได้รับการตกแต่งประดับประดาจากพระมารดาก่อน รุ่งเช้าจึงค่อยพาไปนะท่านพราหมณ์"
ชูชก "ข้าแต่ขัตติยฤษี กระหม่อมฉันไม่อยากจะพักอยู่ที่นี่ อยากจะทูลลาไปในบัดนี้ เพราะว่า มัทรีจะขัดขวางทางบริจาคทาน กระหม่อมฉันไม่ขอพบกับพระนางมัทรี แต่จะขอทูลลาไปในบัดนี้ ขอพระองค์ได้ทรงตรัสเรียกกุมารทั้งสองมาเถิด พระเจ้าข้า"
พระเวสสันดร "ถ้ากระนั้น ก็ขอให้ท่านจงพาสองกุมารตรงไปหาพระเจ้าสญชัยผู้เป็นอัยกา ท้าวเธอทอดพระเนตรเห็นหลานรัก กำลังช่างพูดนารักน่าเอ็นดู ก็จะทรงมีพระหฤทัยยินดี และจักพระราชทานทรัพย์แก่ท่านเป็นอันมากนะ พ่อพราหมณ์"
ชูชก "ข้าแต่พระราชบุตรผู้ประเสริฐ กระหม่อมฉันคงจะไม่พ้นพระราชอาญา โดยจะต้องถูกกล่าวหาว่า ฉกชิงลักพาเอาสองกุมารมา อาจจะถูกขายเป็นทาสหรือประหารชีวิตเสียก็ได้ กระหม่อมฉันกลัวที่สุด ก็คือจะถูกนางพราหมณีอมิตตาก่นด่าเอาจนย่อยยับ อย่างนี้แหละ พระเจ้าข้า"
พระเวสสันดร "กระนั้นท่านจะพาเอาสองกุมารไปไหนกัน ?"
ชูชก "จะไม่เอาไปขาย จะมอบให้เป็นทาlของอมิตตาพราหมณี พระเจ้าข้า"
......................................
(ยังมีต่ออีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น