๓. ทานกัณฑ์ (๒)
พระเจ้าสญชัย "เจ้าจะไปได้อย่างไรกัน ป่าหิมพานต์นั้นเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย ตั้งแต่ยุงริ้น ไรขึ้นไป จนถึงงูเหลือมขนาดใหญ่และเสือ แรก หมี ช้าง ค่ำคืนก็มีแต่เสียงร้องของนก กา สุนัขป่าก็จะเห่าหอนระงมไพร จะทำให้เจ้าตกใจหวาดผวาไม่หลับนอน จงตรึกตรองดูเสียก่อนเถอะแม่มัทรี"
พระนางมัทรี "หม่อมฉันไม่ไม่หวั่นไหวอะไรเลย จะขอโดยเสด็จพระเวสสันดรไปจนถึง ที่สุด ข้าแต่มหาราช ความเป็นหม้ายนั้นเป็นของเผ็ดร้อนเหลือเกิน หม่อฉันทนไม่ได้ ดอก เพคะ"
พระเจ้าสญชัย "ชีวิตในป่าหิมพานต์ของเธอจะมีแต่ความทุกข์ทรมาน ถ้าเธอทนไม่ได้ก็ จะต้องสูญเสียชีวิตลง เธอเป็นสตรีสุขุมาลชาติ จะไปทนชีวิตอย่างนั้นได้อย่างไรกัน"
พระนางมัทรี "ข้าแต่พระบิดาผู้ประเสริฐ อันธรรมดาเกิดมาเป็นสตรีมีสามีแล้ว ก็ควรที่จะ ร่วมสุขร่วมทุกข์กันไปให้ตลอด ภรรยาที่คอยจะร่วมแต่ความสุข ครั้นพอสามีได้ทุกข์ก็ หลีกหนีไม่นำพา ก็มีค่าไม่ต่างจากนางบำเรอ กระหม่อฉันขอตัดสินใจไปตายเอาดาบ หน้าร่วมกับพระสามี ดีกว่าจะต้องมาเป็นหม้ายชายร้างอยู่ในรั้วในวัง การเป็นหม้ายชาย ร้างนั้นจะมีแต่ความทุกข์ มีแต่คนเขาจะนินทาว่าร้ายให้ขายหน้า สิ้นเกียรติยศหมดราคา ดูหน้าใครไม่ได้ พวกผู้ชายเจ้าชู้ก็จะพากันดูแคลนล่วงเกินให้เจ็บใจ อย่างนี้มัทรีเป็นไม่ ได้ดอก เพคะ"
"อันธรรมดาว่าห้วงนทีไม่มีน้ำก็เปล่าดาย แว่นแคว้นใดไร้ราชาก็หาสง่ามิได้ เป็นหญิง หม้ายไร้สง่าราศีมีแต่จะต้องก้มหน้า ธงชัยเป็นเครื่องหมายแห่งรถ ควันเป็นเครื่องหมาย แห่งไฟ พระราชาเป็นเครื่องหมายแห่งแว่นแคว้น สามีก็เป็นเครื่องหมายแห่งหญิงฉันนั้น หม่อมฉันจะขอบวชติดตามพระราชสามีไป ขอพระองค์จงได้ประทานพระบรมราชานุ ญาตแก่กระหม่อมมัทรีนี้ด้วยเถิด เพคะ"
พระเจ้าสญชัย "ถ้าอย่างนั้น สำหรับพ่อชาลีแม่กัณหาลูกทั้งสองของเธอนี้ยังเล็กนัก เรา จะรับเลี้ยงดูเอาไว้ให้"
พระนางมัทรี "ลูกทั้งสองนี่แหละจะช่วยให้หม่อมฉันคลายความทุกข์โศกและได้รับความ รื่นรมย์ในป่าได้บ้าง"
พระเจ้าสญชัย "ดูก่อนแม่มัทรี ไม่ควรที่เธอจะพาเอาบุตรทั้งสองไปให้ต้องระกำลำบาก ด้วย เด็ก ๆ เคยเสวยข้าวสาลี จะเสวยผลไม้ได้อย่างไร เคยเสวยด้วยถาดทอง ก็จะ ต้องใช้ใบไม้แทน เคยทรงผ้ากาสีและผ้าโขมพัสตร์ก็จะต้องทรงผ้าคากรอง เคยเสด็จ ด้วยวอหรือรถ ก็จะต้องเดินเท้า เคยนอนบนพรมก็จะต้องนอนบนหญ้า เคยลูบไล้ด้วย กฤษณาจันทน์หอม ก็จะต้องมอมไปด้วยฝุ่นละออง เคยพัดวีด้วยแล้จามรีหางนกยูง ก็จะ ต้องถูกเหลือบยุงรุมกัด แล้วจะทำอย่างไรกัน ไม่ควรที่เธอจะทำเช่นนั้นนะแม่มัทรี"
ขณะที่พระราชมารดาพระราชบิดากับพระราชโอรสและพระสุณิสาพิไรรำพันกันอยู่อย่างนี้ จนราตรีสว่างพระอาทิตย์ขึ้น อำมาตย์ก็นำรถทรงเทียมม้ามาเทียบไว้ที่ประตูวัง
พระนางมัทรีกราบทูลเป็นครั้งสุดท้าย "ข้าแต่พระบิดาผู้ประเสริฐ ขอพระองค์อย่าทรงงปริ เทวนาให้เสียพระทัย เกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองจักเป็นอย่างไร เด็ก ๆ ก็จักเป็นอย่างนั้น เช่นกัน" ครั้นแล้วก็กราบถวายบังคมลา พาพระราชโอรสไปประทับคอยอยู่ในราชรถก่อน ส่วนพระเวสสันดรยังคงกล่าวคำอำลาประชาชนที่มาคอยเฝ้า พระองค์ทรงประทานโอวาท ตามสมควรแล้ว ก็เสด็จขึ้นประทับรถทรง ทอดพระเนตรนครสีพีเป็นครั้งสุดท้าย แล้วรถ ทรงก็เคลื่อนออกไป
.....................................
(ยังมีต่ออีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น