วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๗ พระจันทกุมาร
















พระจันทกุมาร

สมัยหนึ่ง  เมืองพาราณสีมีชื่อเมืองว่า  "ปุปผวดี"  มีกษัตริย์พระนามว่า  พระเจ้า "เอกราชา"  ทรงครองราชสมบัติอยู่ในเมืองนั้น  พระราชบุตรพระนามว่า "จันทกุมาร"  ดำรงตำแหน่งอุปราช  พราหมณ์ชื่อ  "กัณฑหาล"  เป็นปุโรหิต  พระเจ้าแผ่นดินเห็นว่ากัณฑหาลปุโรหิตเป็นบัณฑิต  จึงทรงแต่งตั้งให้มีหน้าที่ตัดสินอรรถคดีอีกตำแหน่งหนึ่ง  แต่กัณฑหาลเป็นคนชอบกินสินบน  เมื่อได้รับสินบนแล้ว  ก็แปรรูปคดีไปในทางที่ไม่ยุติธรรม  ผู้ไม่ใช่เจ้าของก็ตัดสินให้เป็นเจ้าของ  ผู้เป็นเจ้าของก็กลับไม่ให้เป็นเจ้าของ

 วันหนึ่ง  มีบุรุษคนหนึ่งร้องโพนทะนาด่าว่า  ปุโรหิตตัดสินความไม่ยุติธรรมอยู่ในโรงวินิจฉัยอรรถคดี  ครั้นเดินออกมาภายนอกเห็นพระจันทกุมารกำลังเสด็จมาเฝ้าพระราชบิดา  ก็กราบลงแทบพระบาทแล้วร้องไห้

"มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแก่ท่านหรือ ?"  พระจันทกุมารตรัสถามบุรุษ

"กัณฑหาลกินสินบนในการตัดสินความ  แม้ข้าพระองค์นี้ก็ถูกเขากินสินบน  เขารับสินบนแล้วยังตัดสินให้ข้าพระองค์เป็นฝ่ายแพ้  พระเจ้าข้า"

"อย่าเสียใจไปเลย  มาไปกับเรา  เราจะให้ความยุติธรรม"  พระจันทกุมารทรงปลอบบุรุษผู้นั้น  แล้วพาไปสู่โรงวินิจฉัย  หยิบยกเอาอรรถคดีขึ้นมาพิจารณา  แล้วตัดสินโดยยุติธรรม  ผู้เป็นเจ้าของก็ให้เป็นเจ้าของ  ผู้ไม่ใช่เจ้าของก็เป็นเจ้าของไม่ได้  มหาชนก็พากันซ้องสาธุการ

พระราชาได้สดับเสียงนั้น  จึงตรัสถามว่า  "นั่นเสียงอะไร ?"  มีผู้ทูลว่า  "ข้าแด่พระสมมติเทพเจ้า  พระจันทกุมารอุปราชทำการวินิจฉัยอรรถคดีและตัดสินอย่างยุติธรรม  เสียงนั้นคือเสียงสาธุการของมหาชน  พระเจ้าข้า"  พระราชาได้สดับดังนั้นก็ทรงโสมนัส

เมื่อพระจันทกุมารเสด็จมาเฝ้า  จึงตรัสถามว่า  "แนะพ่อจันทกุมาร  ได้ยินว่า เจ้าตัดสินความเรื่องหนึ่งหรือ ?"

"พระเจ้าข้า"

"ถ้ากระนั้น  ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  พ่อขอมอบให้เจ้าคนเดียวเท่านั้นเป็นผู้วินิจฉัยอรรถคดีทั่วไป"  แล้วก็ทรงแต่งตั้งให้จันทกุมารทำหน้าที่วินิจฉัยอรรถคดี  ผลประโยชน์ของกัณฑหาลก็ขาดลง  แต่นั้นมา  เขาจึงผูกอาฆาตและคอยเพ่งเล็งจะจับผิดพระจันทกุมาร

พระเจ้าเอกราชาทรงมีพระสติปัญญาอ่อน  เชื่อคนง่าย  คืนวันหนึ่งทรงสุบินไปว่า  ได้พบแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นที่สุขารมย์ยิ่งนัก  มีเวชยันต์ปราสาทสวยงาม  เรียงรายด้วยนางฟ้าขับร้องประโคมดนตรี  มีสวนนันทวันน่ารื่นรมย์  และซุ้มประตูอันอลงกต  ครั้นตื่นบรรทมก็ทรงปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะไปดินแดนนั้น  จึงรับสั่งให้หากัณฑหาลผู้ที่พระองค์ทรงนับถือว่า  เป็นบัณฑิตมาเฝ้า  เพื่อจะทรงถามถึงหนทางที่จะไปยัแดนสวรรค์นั้น  ด้วยทรงเข้าพระทัยว่า  อาจารย์กัณฑหาลของพระองค์จะบอกให้ได้

มาเฝ้าจึงตรัสถามว่า  "ท่านพราหมณ์ ท่านเป็นคนฉลาดในอรรถธรรม  ขอจงบอกทางไปสวรรค์แก่เรา"

ตามปรกติกัณฑหาลก็เป็นผู้โง่เขลางมงายอยู่แล้ว  เมื่อถูกพระราชาผู้มีสติปัญญาอ่่อนถามเช่นนั้น  ก็เท่ากับบุรุษหลงทางมาได้  ๗  วัน  ถามบุรุษคนหนึ่งซึ่งหลงทางมาแล้วตั้งครึ่งเดือน

กัณฑหาลพราหมณ์จึงคิดว่า  "คราวนี้ได้โอกาสละเมื่อจันทกุมารสิ้นชีวิตลง  ลาภยศที่เราเสื่อมไปก็จะกลับคืนมา  เราก็จะสมปรารถนาทุกประการ"  จึงทูลตอบว่า  "ข้าแต่สมมติเทพ  นรชนทั้งหลายกระทำบุญ  ให้ทานและฆ่าบุรุษที่ไม่ควรจะฆ่า  ย่อมไปสู่สุคติสวรรค์นั้นได้  พระเจ้าข้า"

"ทำบุญ  ให้ทาน  และฆ่าบุคคลที่ไม่ควรจะฆ่า?"  ทรงทวนคำของพราหมณ์  "จะให้เราบูชายัญหรือท่านพราหมณ์ ?"

"ข้าแต่สมมติเทพ  พระองค์มีพระดำรัสถูกแล้ว  ควรบูชายัญด้วยพระราชบุตร  พระมเหสี  ชาวนิคม  โคอุสภราช  และอาชาไนยทั้งหลาย  อย่างละ ๔  ละ  ๕  ดังที่เรียกว่าบูชาาด้วยหมวด ๔  แห่งสัตว์ทั้งปวง  พระเจ้าข้า"


.........................



(ยังมีต่ออีก)





























วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต ตอน พญาครุฑ (หน้า ๖)


พญาครุฑ  (ต่อ)  

"พระพรหมมิใช่เป็นผู้สร้างโลก  มิใช่ต้นตระกูลของพราหมณ์  เป็นแต่เพียงสิ่งที่พวกพราหมณ์อ้างขึ้น  สมมติว่า  พระพรหมเป็นผู้สร้างโลกจริง  ทำไมไม่จัดโลกทั้งหมดให้ดี  ทำไมไม่ทำโลกทั้งหมดให้มีแต่ความสุข  ทำไมจึงจัดโลกโดยไม่เป็นธรรม  ทำไมจึงแบ่งคนเป็นชั้นวรรณะ  เป็นพราหมณ์  เป็นกษัตริย์  เป็นแพทย์  และเป็นศูทย์  ถ้าพระพรหมสร้างคนไว้จริง  กษัตริย์ก็คงเป็นกษัตริย์เสมอ  แต่คนที่ไม่ใช่กษัตริย์จะไม่มีโอกาสได้ราชสมบัติเลย  พราหมณ์ก็คงเป็นพวกเดียวเท่านั้นที่มีโอกาสศึกษาพระเวท  คนที่ไม่ใช่พราหมณ์จะไม่มีโอกาสเลย  พวกแพศย์ก็คงเป็นพวกเดียวเท่านั้นที่จะต้องทำการค้าขายไถนา  พวกอื่นจะไม่มีโอกาสเลย  และพวกศูทย์ก็ไม่มีโอกาสเลยที่จะเป็นอย่างอื่นได้  อย่างนี้ก็นับว่าพระพรหมไม่มีความเป็นธรรม  แต่ความจริงที่ปรากฏอยู่ในโลกทุกวันนี้  คนเราจะดีหรือชั่วอยู่ที่การกระทำของตนเอง  คนเราจะบริสุทธิ์หรือเศร้าหมองก็เพราะตนเองเป็นผู้ทำขึ้น  ชีวิตคนย่อมผันแปรไปตามผลกรรมที่ตนกระทำเองทั้งสิ้น  เพราะคนไม่ทำอะไรเลยก็ไม่มีโอกาสจะได้ลาภ  เกียรติยศ  ความไมตรี  และความสุข  แต่คนที่มีความขยันย่อมหาทรัพย์ได้  คนที่ทำแต่ความดีก็มีเกียรติยศชื่อเสียง คนที่สร้างมิตรไมตรีก็ย่อมมีความไมตรีกับคนทั่วไป  และคนที่ทำกุศลก็ประสบแต่ความสุขสงบ  พระพรหมมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย  เพราะฉะนั้น  พระพรหมจึงไม่ใช่ผู้สร้างโลก  แต่เป็นชื่อที่พวกพราหมณ์อ้างขึ้นเพื่อประโยชน์ของตัวเอง  ถ้าจะให้พระพรหมเป็นผู้สร้าง  ก็เป็นผู้สร้างที่ไม่มีควาเป็นธรรม  ไม่ควรแก่การ
เคารพบูชา

"อนึ่ง  การบูชาไฟ  คือ  การเอาสิ่งที่ชีวิตหรือของมีค่ามาเผาไฟ  เพื่อเป็นการบำเรอหรือปรนเปรอไฟ  มิใช่การปฏิบัติที่ชอบด้วยเหตุผล  เพราะไฟไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอะไร  ย่อมเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่รู้ว่าสิ่งใดดีหรือชั่ว  และสิ่งใดมีค่าหรือไร้ค่า ถ้าการบูชาไฟมีบุญกุศลจริง  คนเผาป่า  เผาถ่าน  เผาศพ  และเผาบ้านเมือง  ก็เป็นคนทำบุญกันทั้งนั้น  และพวกพราหมณ์ก็คงจะเผาตัวเองได้เพื่อเอาบุญ  โดยไม่ต้องชัดชวนคนอื่นเลย  แต่พราหมณ์ไม่ยอมเผาตัวเอง  พวกของตัวเอง  และบ้านเมืองของตนเอง  ได้แต่ชักชวนพวกอื่นฝ่ายเดียว  ซึ่งชักชวนได้แต่คนโง่  คนมีปัญญาหาเชื่อตามคำอ้างที่หลอกลวงของพราหมณ์ไม่  ถ้าการบูชาไฟจะให้ผลเป็นทรัพย์สมบัติแก้วแหวนเงินทองในโลกหน้าจริง  พวกพราหมณ์ก็คงจะไม่ชักชวนให้พวกอื่นมามีส่วนในทรัพย์สมบัติที่จะได้เป็นแน่  และไฟจะสร้างสรรค์ให้ได้อย่างไร  จึงจะเพียงพอแก่ความโลภของพวกพราหมณ์

เมื่อพระภูริทัตแสดงจบ  นาคบริษัททั้งปวงพากันชื่นชมโสมนัสในธรรมกถาของพระภูริทัต  ครั้นแล้วก็รับสั่งให้นำพราหมณ์เนสาทไปเสียจากนาคพิภพ  ไม่ให้ทำโทษแต่อย่างไร

ย้อนกล่าวถึงพระเจ้าพาราณสีได้นัดหมายไว้ว่า  จะไปเยี่ยมพระราชบิดา  พอถึงเวลากำหนดนัด  จึงได้เสด็จไปเฝ้าพระราชบิดาพร้อมจตุรงคเสนา  ส่วนพระภูริทัตก็ให้ตีกลองร้องประกาศว่า  "เราจะไปเยี่ยมสมเด็จพระเจ้าลุงและพระเจ้าตาของเรา"  แล้วเสด็จขึ้นจากแม่น้ำยมุนามุ่งไปยังอาศรมสถานนั้น  พี่น้องนอกนั้นกับชนกชนนีก็เสด็จตามไปเบื้องหลัง

ขณะนั้น  พระเจ้าพาราณสีทอดพระเนตรเห็นพระภูริทัตออกมา  พร้อมด้วยนาคบริษัทเป็นอันมากเช่นนั้น  ทรงจำไม่ได้  จึงทูลถามพระราชบิดาว่า  "ท่านผู้นี้เป็นใคร ?"

"ผู้ที่มาเหล่านั้นเป็นนาคผู้มีฤทธิยศ  เป็นลูกแห่งท้าวธตรฐกับนางสมุททชา  ล้วนแต่เป็นผู้มีฤทธิ์มากทั้งนั้น"  พระราชฤษีผู้บิดาตอบ
 
เมื่อขบวนนาคบริษัทมาถึง  จึงถวายความเคารพแทบบาทพระราชฤษี  ส่วนนางสมิททชาก็ถวายบังคมพระราชบิดาและพระเชษฐา  แล้วก็ปริเทวนาการกรรแสงไห้  ครั้นถึงเวลาอันสมควรก็ถวายบังคมลาพระราชบิดากลับยังนาคพิภพ
 
ฝ่ายพระเจ้าพาราณสีประทับ  ณ  ที่นั้น  ๒ - ๓ วัน  จึงถวายบังคมลากลับพระนคร  ส่วนนางสมุททชาเทวีก็สิ้นชีพอยู่ในนาคพิภพนั้น

ฝ่ายพระโพธิสัตว์รักษาศีลอยู่ตลอดชีวิต  ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้ว  ก็ไปในทางสวรรค์พร้อมด้วยนาคบริษัท

เรื่องนี้เก็บความจากภูริทัตชาดก  คติธรรมที่ได้จากเรื่องนี้  คือ  
ความอดทน  
การทำความเห็นผิดให้ถูก
ความรักระหว่างครอบครัว


...............................


คัดจาก....หนังสือทศชาติชาดก (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์
 
 
















วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต ตอน พญาครุฑ (หน้า ๕)


พญาครุฑ  (ต่อ)

อ้ายพราหมณ์ชั่วร้าย  มึงเข้าใจว่า  จะหลอกให้กูปล่อยหรือ  กูไม่ไว่ชีวิตมึงละ"   ว่าแล้วก็ประกาศกรรมชั่วที่พราหมณ์ได้ทำไว้ดังต่อไปนี้

"มึงยืนแอบต้นไม้คอยดักยิงเนื้อที่มาดื่มน้ำ   เนื้อถูกยิงแล้วก็วิ่งโลดไปด้วยความเจ็บปวด  มึงยังติดตามไปจนพบมันนอนกลิ้งอยู่  แล้วแล่เนื้อหาบมาจนถึงที่อยู่ของพระภูริทัตพี่ชายกู  มึงพบพี่กู  และพี่กูก็ได้พามึงไปเลี้ยงดูให้ยศศักดิ์สมบัติมากมายทุกประการ  มึงยังทำประทุษร้ายผู้มีพระคุณเสียอีก  เวรกรรมนั้นจะต้องสนองมึงในวาระนี้  กูจะไม่ไว้ชีวิตคนไร้ประโยชน์อย่างมึงละ"

พราหมณ์เนสาทยังไม่สิ้นคิด  พยายามที่จะกล่าวอะไรต่อไปให้พ้นให้จงได้  จึงกล่าวว่า  "พราหมณ์ผู้ทรงเวทย์ ๑  ผู้เลี้ยงชีพด้วยการขอ ๑  ผู้บูชาไฟ ๑  ทั้ง  ๓  นี้ไม่ควรที่ใครจะฆ่า"

สุโภคะได้ฟังนั้นก็เกิดความลังเลใจ  แต่ยังคิดว่า  เราจะพาพราหมณ์นี้ไปยังนาคพิภพ  ถามความเห็นพี่น้องดูแล้วจึงรู้โทษมัน  จึงกล่าวขึ้นว่า  "ในเมืองของเรานั้น  มีสมาชิกเหลืออยู่  คือ  พี่น้องร่วมท้องของเรา  ถ้าสมาชิกเขาว่ากันอย่างไร  มึงก็จะต้องเป็นอย่างนั้น"  ว่าแล้วก็จับคอพราหมณ์เสือกไสไปพลางบริภาษไปพลาง  จนถึงประตูพระภูริทัต
 
เวลานั้น  อริฏฐะนั่งเฝ้าประตูอยู่  เห็นสุโภคะจับพราหมณ์เนสาทมาในลักษณาการที่ทรมานเช่นนั้น  จึงรีบสวนทางออกไปบอกว่า  "พี่สุโภค  อย่าทรมานพราหมณ์นั้น  เพราะพราหมณ์เป็นบุตรของพระพรหม  ถ้าพระพรหมรู้เข้าจะโกรธและทำความพินาศให้แก่พิภพของเรา"  ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว  จึงเรียกให้นาคบริษัทมาประชุมพร้อมกัน  แล้วกล่าวชี้แจงไปตามวิสัยของตนซึ่งนัยว่า  อริฏฐะนี้ชาติก่อนเกิดเป็นพราหมณ์บูชายัญ  เคยเสวนะอยู่ในลัทธิพราหมณ์  จึงมีสันดานฝังแน่นในการบูชายัญ  อริฏฐะถามสุโภคะว่า  "พี่สุโภค  รู้หรือไม่ว่าโลกนี้ใครสร้าง ?"
 
"ไม่รู้"  สุโภคะตอบ
 
"พรหมเป็นผู้สร้าง  ผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย  เช่นท้าววรุณ  ท้าวกุเวร  ท้าวโสม  พระยายม  พระจันทร์  พระพาย  พระอาทิตย์  ท้าวอรชุน  และภีมเสน  เหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้บูชายัญมาแล้วทั้งนั้น  จึงมีฤทธิ์รุ่งเรืองยิ่งนัก  การบูชายัญของบุคคลสำคัญในครั้งก่อนนั้น  ได้สร้างโลกนี้ให้ประกอบไปด้วยแม่น้ำ  มหาสมุทร  และภูเขา"
 
อริฏฐะได้เล่านิยายประกอบคำพูดของตนต่อไปว่า
 
ในอดีตกาล  พระราชาองค์หนึ่งพระนามว่า  อังคโลมบาท ได้บูชาพราหมณ์และบูชาไฟ  ด้วยนมสดจากแม่โคนมจำนวนมากมาย  นมสดที่เหลือจากพราหมณ์กินก็เทลงไว้จนกลายเป็นแม่น้ำคงคา  เลี้ยงพลเมืองอยู่ในโลกจนปัจจุบันนี้  ส่วนน้ำนมที่ไม่ไหลไป  ยังคงขังอยู่  ก็กลายเป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้

พระเจ้าพาราณสีได้จัดสร้างอาสนะก่อด้วยอิฐถวายแก่พราหมณ์ผู้บูชายัญ  และด้วยอานุภาพของพราหมณ์  อาสนะเหล่านั้นก้ได้กลายมาเป้นภูเขาที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้  เช่น  ภูเขามาลาคีรี  ภูเขาพิมพานต์  ภูเขาคิชฌกูฎ  เป็นต้น

อริฏฐะถามสุโภคะว่า  "พี่รู้หรือไม่ว่า  เพราะเหตุไร  น้ำในมหาสมุทรนี้จึงเค็ม  ดื่มไม่ได้ ?"

"พี่ไม่รู้"  สุโภคะตอบ

อริฏฐะ  "พี่สุโภค  มีพราหมณ์ไปอาบน้ำอยู่ที่ฝั่งมหาสมุทร  น้ำในสมุทรได้ซัดท่วมเอาพราหมณ์นั้นไปกินเสีย  พระพรหมรู้เข้าก็โกรธว่า  ทะเลฆ่าพราหมณ์ผู้เป็นลูกของเรา  จึงสาปให้น้ำเค็ม"
 
อริฏฐะได้กล่าวสรุปว่า  "ด้วยอานุภาพแห่งพราหมณ์ผู้ทำการบูชายัญ  จึงทำให้โลกนี้ประกอบด้วยพระอาทิตย์  พระจันทร์  แม่น้ำ  มหาสมุทร  และภูเขา  ดังกล่าวมาฉะนี้  เหตุนั้น  จึงกล่าวได้ว่า  พระพรหมเป็นผู้สร้างโลก"
 
พวกนาคบริษัทได้ฟังดังนั้นก็หลงผิด  เชื่อถือว่าเป็นจริง  ฝ่ายพระภูริทัตนอนเป็นไข้อยู่ในห้อง  ได้ยินคำของอริฏฐะตลอด  จึงคิดว่า  "อริฏฐะสำคัญผิดเสียแล้ว  และทำให้บริษัทหลงผิดด้วย  เราจะต้องลบล้างคำของอริฏฐะ  ทำความเห็นของบริษัทให้ถูกต้องเสียใหม่"  จึงลุกขึ้นอาบน้ำ  ชำระกาย  แต่งตัวขึ้นนั่งบนที่แสดงธรรม  แล้วให้นาคบริษัทมาประชุมกัน  แล้วชี้แจง  ข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้
 
 
.......................
 
 
 




















 
 
 
 


วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต ตอน พญานาค (หน้า ๔)


พญาครุฑ  (ต่อ)

พระเจ้าพาราณสีจึงให้ขุดบ่อ  ๓  บ่อ  เรียงกันไป  สุทัศน์จึงบรรจุบ่อหนึ่งให้เต็มด้วยยาพิษ  บ่อหนึ่งให้เต็มด้วยโคมัย  บ่อที่  ๓  ด้วยยาทิพย์  แล้วหยดพิษลงในบ่อที่  ๑  ทันใดนั้นก็เกิดควันลุกเป็นเปลว  แล้วลามไปบ่อที่  ๒  ที่  ๓  ไหม้ยาทิพย์หมดแล้วจึงดับ  อาลัมพายน์ยืนอยู่ใกล้บ่อ  ถูกไอควันพิษฉายเอาผิวหนังลอกไป  กลายเป็นขี้เรื้อนด่างไปทั้งตัว  จึงร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า  "ข้าพเจ้าจะปล่อยนาคราชละ"  สามครั้ง

เมื่อพระภูริทัตได้ยินดังนั้น  จึงเลื้อยออกจากกระโปรง  เนรมิตกายประดับประดาด้วยเครื่องประดับสง่างามดุจเทวราช  สุทัศน์และนางอัจจิมิชีก็มายืนอยู่กับพระภูริทัต  แล้วสุทัศน์ได้ทูลถามพระเจ้าพาราณสีว่า  "ขอเดชะ  ข้าแต่พระองค์  พระองค์ทรงรู้ว่าข้าพระองค์ทั้ง  ๓  นี้เป็นลูกใครหรือ ?

พระเจ้าพาราณสี  "เราไม่รู้จักเลย"

สุทัศน์  "พระองค์ทรงทราบเรื่องที่ยกนางสมุททชาให้แก่ท้าวธตรฐหรือไม่เล่า ?"

พระเจ้าพาราณสี  "เรารู้  นางสมุททชาเป็นน้องสาวของเราเอง"

สุทัศน์  "ข้าพระบาททั้ง  ๓  เป็นลูกของนางสมุททชา  แลพระองค์เป็นพระเจ้าลุง"

พระเจ้าพาราณสีทรงฟังดังนั้น  ก็ทรงสวมกอดจุมพิตรทั้ง  ๓  พลางกรรแสง  แล้วพาขึ้นไปบนปราสาท  จัดการต้อนรับอย่างดี  แล้วถามพระภูริทัตว่า  "พ่อภูริทัต  พ่อมีฤทธิ์เดชถึงเพียงนี้  ทำไมอาลัมพายน์จึงจับได้ ?"  พระภูริทัตจึงทูลเรื่องทั้งปวงโดยพิสดาร  ครั้นแล้วสุทัศน์จึงทูลว่า  "ข้าแต่พระเจ้าลุง  มารดาของข้าพระองค์ยังกลัดกลุ้มอยู่  ข้าพระองค์ไม่อาจอยูช้าได้

"ดีละพ่อ  จงพากันไปเถิด  แต่ว่าลุงอยากพบน้องสาวของเราบ้าง  ทำอย่างไรจึงจะได้พบกัน"

"ข้าแต่พระเจ้าลุง  พระเจ้ากาสิกราชผู้เป็นอัยกาของข้าพระองค์เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหนเล่า ?"

"พระเจ้าากาสิกราชนั้น  เพราะเหตุที่ต้องพลัดพรากจากน้องสาวของลุง  จึงไม่สามารถจะอยู่เสวยราชสมบัติได้  ได้ออกผนวชเสียแล้ว  เสด็จไปอยู่ไพรสณฑ์แห่งโน้น"

"ข้าแต่พระเจ้าลุง  มารดาของข้าพระองค์ก็ประสงค์จะพบพระเจ้าลุงและพระอัยกาด้วย  พอถึงวันโน้น  ขอให้พระองค์เสด็จไปยังสำนักพระอัยกา  ข้าพระองค์จักพาพระมารดาไปยังอาศรมนั้น  แล้วพระองค์ก็จะได้พบพระมารดาในที่นั้น"

เมื่อกำหนดนัดหมายวันคืนกันแล้ว  ทั้ง  ๓  ก็ถวายบังคมลาออกจากพระราชนิเวศน์กลับไปยังนาคพิภพ

พอพระภูริทัตถึงนาคพิภพแล้ว  เพราะความเหน็ดเหนื่อยบอบช้ำที่ต้องเข้าไปอยู่ในกระโปรงถึง  ๓  เดือน  ทำให้เป็นไข้  มีนาคมาเยื่ยมเยืยนเสมอมิได้ขาด  จนพระภูริทัตเหน็ดเหนื่อยด้วยคำกล่าวปราศรัยต้อนรับผู้มาเยี่ยม

ฝ่ายอริฏฐะไปยังเทวโลกนั้น  เมื่อไม่พบก็กลับมา  และได้หน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูที่บรรทมของพระภูริทัต  เพื่อคอยห้ามปรามนาคที่จะมารบกวน  ฝ่ายสุโภคะที่ไปยังป่าหิมพานต์  ได้ตรวจค้นทั่วแล้วก็กลับมาถึงแม่น้ำยมุนา

ฝ่ายพราหมณ์เสสาทเห็นอาลัมพายน์เป็นโรคเรื้อน  จึงคิดว่า  เพราะเหตุที่ทำให้พระภูริทัตลำบากจึงเกิดโรคร้างแรงขึ้นเช่นนี้  ส่วนเราก็เป็นคนบอกที่พะภูริทัตผู้มีคุณแก่เรามากให้แก่อาลัมพายน์  เพราะอยากได้แก้ว  บาปกรรมอันนั้นคงจักมาถึงตัวเราเป็นแน่  แต่ก่อนที่บาปจะมาถึง  เราจะต้องไปทำพิธีล้างบาปเสียที่ท่า  "ปยาค"  ในแม่น้ำยมุนา  คิดแล้วก็ตรงไปยังท่านั้น  กล่าววาจาว่า  "เราได้ทำประทุษร้ายมิตรผู้พระภูริทัต  เราจะขอลอยบาปนั้นไปเสีย"  กล่าวแล้วก็ลงน้ำ

ทันใดนั้น   สุโภคะมาถึงพอดี  ได้ยินคำของพราหมณ์เนสาทเข้าก็รู้ได้ทันที  จึงคิดว่า  "คนชั่วเช่นนี้  เอาชีวิตมันเสียเถิด"  คิดแล้วก็เอาหางพันตีนพราหมณ์ทั้งสองข้างลากให้จมลงไปในน้ำ  พอจมจะขาดใจก็ผ่อนให้หน่อยหนึ่ง  พอพราหมณ์โผล่ขึ้นมาหายใจได้ครั้งเดียวก็กลับดึงลากลงไปอีก  ทรมานให้ลำบากอย่างนี้อยู่หลายครั้ง  พอโผล่ขึ้นมาอีกจึงกล่าวว่า  "ภูตผีอะไรมาฉุดเราให้จมลงสู่แม่น้ำยมุนานี่ ?"

"ลูกนาคราชที่มีฤทธิ์ยิ่งใหญ่  ซึ่งเคยมาล้อมเมืองมนุษย์ไว้ครั้งหนึ่ง  ชื่อว่าสุโภคะอย่างไรเล่า"  สุโภคะกล่าว

พราหมณ์เนสาทรู้ดังนั้น  จึงคิดว่า  นาคผู้นี้เป็นน้องของพระภูริทัตนั่นเอง  คงจักไม่ไว้ชีวิตเราเป็นแน่  อย่ากระนันเลย  เราจะยกยอเกียรติคุณของนาคนี้  ทั้งบิดามารดาของเขาให้ใจอ่อนแล้วขอชีวิตไว้  จึงกล่าวว่า  "ท่านเป็นบุตรพญาคนาคผู้มีฤทธิ์เดช  บิดาของท่านเป็นคนใหญ่โตมาก  มารดาของท่านก็ไม่มีใครเสมอเหมือนในหมู่มนุษย์  ท่านเองก็มีอานุภาพมากมาย  ไม่ควรจะฆ่าคนที่เป็นแต่เพียงทาสของพรามหณ์ให้จมน้ำตายเลย


......................



















วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต ตอน พญาครุฑ (หน้า ๓)


พญาครุฑ  (ต่อ)

ขณะนั้น  อาลัมพายน์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว  ก็ยกกระโปรงแก้วไปยังหน้าพระลาน  ประชาชนก็มามุงดูกันเป็นจำนวนมาก  พระราชอาสน์ก็จัดไว้พร้อมแล้ว  แต่พระราชายังไม่เสด็จออก  และมีรับสั่งว่า  ให้อาลัมพายน์เล่นไปก่อนเถิด  อาลัมพายน์จึงเปิดประโปรงออกแล้วให้สัญญาณว่า  "มหานาค  จงออกมาเถิด"  เวลานั้นสุทัศน์ได้ไปยืนอยู่ข้างท้ายประชาชน  พระภูริทัตโผล่ศีรษะออกมาแล้วแลดูไปรอบ ๆ  ก็แลเห็นสุทัศน์พี่ชาย  จึงเลื้อยออกจากกระโปรงตรงไปหาทั้งน้ำตา  มหาชนเห็นนาคเลื้อยมาก็ตกใจ  รีบถอยหลังไปหมด  ยังคงยืนอยู่แต่สุทัศน์ผู้เดียว  พระภูริทัตไปซบเศียรร้องไห้อยู่ที่หลังบาทของสุทัศน์   สุทัศน์ก็ร้องไห้เช่นกัน  แล้วพระภูริทัตก็เลื้อยกลับเข้ากระโปรง

ส่วนอาลัมพายน์เข้าใจว่า  ดาบสถูกนาคกัด  จึงรีบเข้าไปปลอบว่า  "นาคหลุดมือไปกัดเท้าของท่าน  เห็นจะไม่เป็นไรมาก  ประเดี๋ยวก็หาย"

"นาคตัวนี้ไม่มีพิษพอที่จะทำอะไรเราได้สักนิดเดียว  หมองูในเมืองนี้มีอยู่สักเท่าไรก็ไม่ดียิ่งไปกว่าเรา"  สุทัศน์บอก

อาลัมพายน์ไม่รู้ว่าสุทัศน์เป็นใคร  จึงโกรธแล้วพูดว่า  "คนอะไรแต่เพศเป็นดาบส  เข้ามาพูดอวดดีท้าทายในที่ประชุมชน  คนทั้งหลายจงได้ยินไว้ด้วย"

สุทัศน์  "นี่แน่ะหมองู  ท่านจงต่อสู้ด้วยนาค  เราจะต่อสู้ด้วยลูกเขียด  เราพนันเอาเดิมพันกันสักเท่าไรก็ได้  เอาสัก  ๕,๐๐๐  เป็นไร ?"

อาลัมพายน์  "แน่ะพ่อหนุ่ม  เราเป็นคนมีสมบัติ  ท่านเป็นคนจน  ใครจะเป็นคนรับประกันฝ่ายท่าน  ฝ่ายเรานั้นมีคนประกันแน่นอน  ถ้าเราจะเอาเดิมพันกันถึง  ๕,๐๐๐  เช่นนี้"

สุทัศน์จึงพูดว่า  "เอาเถอะ  ตกลงวางเดิมพันกัน  ๕,๐๐๐  เราจะหาคนรับประกันไว้"  ว่าแล้วก็เข้าไปในพระราชนิเวศน์  เข้าเฝ้าพระเจ้าพาราณสี  กราบทูลว่า  "ข้าแต่มหาบพิตร  ขอได้โปรดฟังคำของอาตมภาพ  พระองค์เป็นผู้ทรงเกียรติ  ขอได้โปรดรับประกันทรัพย์  ๕,๐๐๐  ทีเถิด"

พระเจ้าพาราณสีทรงประหลาดพระทัย  ว่าดาบสองค์นี้ขอให้ประกันทรัพย์มีจำนวนมากเกินไป  เรื่องอะไรกัน  แล้วตรัสว่า  "ท่านดาบสท่านมีหนี้สินของบิดาหรือของท่านเอง  จึงขอทรัพย์ข้าพเจ้ามากมายอย่างนี้"

"เพราะอาลัมพายน์จะกำจัดอาตมภาพด้วยนาค  อาตมาจะกำจัดด้วยลูกเขียด  ขอมหาบพิตรจงเสด็จมาทอดพระเนตรการต่อสู้อันน่าดูนั้นด้วยเถิด"  สุทัศน์กราบทูล

พระเจ้าพาราณสีจึงตกลง  แล้วก็เสด็จออกพร้อมกับดาบส  อาลัมพายน์เห็นเช่นนี้ก็ตกใจ  เข้าใจว่า  ดาบสนี้เป็นบรรพชิตในราชสำนัก  จึงสามารถเชิญพระราชาออกมาได้  จึงพูดดีกับดาบสว่า  "ข้าแต่ดาบส ข้าพเจ้ามิได้ดูหมิ่นท่านโดยทางศิลปศาสตร์แต่อย่างใด  เป็นแต่ว่าท่านทะนงในศิลปศาสตร์มากเกินไป  มิได้ยำเกรงนาค"

สุทัศน์  "ดูก่อนพราหมณ์  ถึงตัวเราก็มิได้ดูหมิ่นท่านโดยทางศิลปศาสตร์  แต่ว่าท่านเที่ยวล่อลวงประชาชนด้วยนาคที่ไม่มีพิษ  ถ้าคนอื่นเขารู้ว่า  นาคของท่านไม่มีพิษสงอะไร  แม้แต่แกลบสักกำมือหนึ่งท่านก็จะไม่ได้รับ  ไม่ต้องว่าถึงทรัพย์หรอก"

อาลัมพายน์  "ท่านเป็นดาบสที่โง่เง่ามาก  มาดูหมิ่นว่า  นาคชนิดนี้ไม่มีพิษ  เข้ามาให้ชิดก็จะรู้ได้ว่า  นาคตัวนี้เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชอย่างยิ่ง  เราเข้าใจว่า  นาคนี้สามารถจะทำให้ท่านแหลกเป็นขี้เถ้าไปในพริบดาเดียว"

ุสุทัศน์  "พิษของงูเรือน  งูกินปลา  และงูเขียว  ยังจะพอมีบ้าง  แต่พิษของนาคศีรษะแดงนี้ไม่มีเลย"

อาลัมพายน์  "ข้าแต่ดาบส  พระท่านสอนไว้ว่า  ผู้ให้ทานในโลกนี้แล้ว  จะได้ไปสวรรค์  ขณะนี้ท่านยังมีชีวิตอยู่  มีสิ่งอันใดที่จะให้ทานได้ก็จงให้เสียเถิด  เมื่อท่านตายไปแล้วจะได้ไปสวรรค์  นาคตัวนี้ฤทธิ์เดชมากนัก  ยากที่ใครจะล่วงเกินได้  เราจะให้กัดท่าน  จะทำให้ท่านต้องพินาศเป็นขี้เถ้าทีเดียว"

สุทัศน์  "เพื่อนเอ๋ย  ตัวเราก็ได้ฟังคำพระสอนเหมือนกันว่า  ทายกให้ทานแล้วจะได้ไปสวรรค์  ท่านจงรีบให้ทานเสียเถิด  ลูกเขียดน้องของเรานี้ก็มีฤทธิ์เดชมากอย่างนาคชั้นสูงสุด  นางเป็นธิดาท้าวธตรฐ  เป็นน้องสาวต่างมารดาของเรา   เราจะให้กัดท่าน  จะทำให้พินาศเป็นขี้เถ้าเช่นกัน"

ว่าแล้วสุทัศน์ดาบสก็แบมือ  เรียกน้องสาวให้ออกมาจากกลีบชฎา  นางอัจจิมุขีจึงออกมากจับอยู่ที่
จะงอยบ่า  แล้วกระโดดลงไปบนฝ่ามือ  คลายพิษออกมา  ๓  หยด  แล้วก็กลับเข้าไปในกลีบชฎาอีก   สุทัศน์ถือพิษยืนอยู่แล้วเปล่งเสียงขึ้น  ๓  ครั้งว่า  "ชนบทนี้จะพินาศเสียแล้วหนอ  ๆ ๆ "  เสียงของสุทัศน์ดังไปเป็นรัศมี  ๑๒  โยชน์  พระเจ้าพาราณสีจึงตรัสถามว่า  "ชนบทนี้จักพินาศเพราะอะไรกัน ?"

"ข้าแต่มหาบพิตร อาตมาภาพมองไม่เห็นว่า  จะหยดพิษนี้ลงที่ตรงไหน ? "  สุทัศน์กราบทูล

พระเจ้าพาราณสี  "ท่านดาบส  แผ่นดินออกใหญ่  หยดมันลงไปเถิด"

"ถ้าหยดลงบนแผ่นดินแล้ว  มหาบพิตรจงทราบเถิด  ต้นหญ้าลดาวัลย์และรุกขชาติทั้งหลายจะต้องเหี่ยวแห้งหมดไม่ต้องสงสัย"  สุทัศน์กราบทูล

พระเจ้าพาราณสี  "ถ้าเช่นนั้น  ขว้างไปนอกอากาศซิท่านดาบส"

สุทัศน์  "ถ้าขว้างขึ้นไปในอากาศ  ฝนและหิมะจะไม่ตกถึง  ๗  ปี"

พระเจ้าพาราณสี  "ถ้าเช่นนั้น  จะหยดลงในน้ำสิท่าน"

สุุทัศน์  "ถ้าหยดลงในน้ำ  สัตว์น้ำทั้งหลายมีเท่าใดก็จักตายหมด"

พระเจ้าพาราณสี  "ถ้าอย่างนั้น  ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร  ท่านจงแนะอุบายที่จะไม่ให้เกิดความพินาศขึ้นในชนนบทนี้ด้วยเถิด"

สุุทัศน์  "ถ้ากระนั้น  ขอให้พระองค์ทรงมีพระราชบัญชาให้ขุดบ่อ  ๓  บ่อเรียงกันไปในที่นี้"


..........................


























 














วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต ตอน พญาครุฑ (หน้า ๓)


พญาครุฑ  (ต่อ)

พระภูริทัตคิดว่า  "เอาละ  วันนี้เราเล่นให้ชาวบ้านมีความรื่นเริงสนุกสนาน  เมื่ออาลัมพายน์ได้ทรัพย์มากก็คงจะปล่อยเราไป  ตาแกจะให้เราทำอะไรอย่างไร  ก็จะทำตามทุกอย่าง"  พระภูริทัตคิดดังนั้นแล้วจึงออกจากกระโปรง  เมื่ออาลัมพายน์บอกว่าใหญ่  ก็ทำตัวให้ใหญ่  บอกให้เล็ก  ให้ขด ให้คลาย  ให้แผ่พังพาน  ให้สูง  ให้ต่ำ   ให้ทำสีเขียว  สีเหลืองหรือแดง  ขาว  ให้พ่นเปลวไฟ  พ่นน้ำ  พ่นควัน  แล้วแต่
อาลัมพายน์จะบอกอย่างไร  ก็ทำอย่างนั้นทุกอย่าง  ชาวบ้านที่มาดูเห็นแล้วก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้  จึงให้เงินทอง  เครื่องประดับ  แพรพรรณต่าง ๆ  รวมราคาได้มากมาย  แต่แทนที่อาลัมพายน์จะปล่อยกลับคิดด้วยความโลภต่อไปอีก  "เพียงในหมู่บ้านเล็ก ๆ  นี้  เรายังได้ทรัพย์มากมายถึงเพียงนี้  ถ้าไปในนครใหญ่ ๆ  เราก็จะได้ยิ่งกว่านี้"  อาลัมพายน์มีความโลภจึงมิได้ปล่อยพระภูริทัต  เที่ยวนำออกแสดงในที่ต่าง ๆ  จนได้ก่อร่างสร้างตัวมีเงินทองขึ้น  ยังไม่พอ  อาลัมพายน์คิดการใหญ่ต่อไป  ให้ช่างทำกระโปรงแก้วใส่พระภูริทัต  ตนเองก็ขี่ยานเล็ก ๆ  อย่างสบาย  พาบริวารออกจากบ้าน  ให้พระภูริทัตเล่นไปตามบ้านและนิคมต่าง ๆ  จนบรรลุถึงนครพาราณสี  อาลัมพายนไม่จัดข้าวตอกกับน้ำผึ้งให้พญานาคกิน  ฆ่าแต่กบให้กิน  พระภูริทัตก็มิได้กิน  อาลัมพายน์ให้พระภูริทัตแสดงอยู่ตามหมู่บ้านใกล้ประตูเมืองทั้งสี่ด้านจนสิ้นเวลาไปเดือนหนึ่ง  ครั้นถึงวันอุโบสถ  ๑๕  ค่ำ  อาลัมพายน์จึงกราบทูลพระเจ้าพาราณสีว่า  จะให้นาคราชเล่นถวาย  พระเจ้าพาราณสีจึงประกาศให้มหาชนดู  มหาชนพากันจัดม้านั่งลดหลั่นกันเป็นชั้น ๆ  ขึ้นที่หน้าพระลาน

ย้อนกล่าวถึงวันที่อาลัมพายน์จับพระภูริทัตไปนั้น  นางสมุททชาพระมารดาพระภูริทัตฝันไปว่า  "ชายผิวดำ  ตาแดง  เอาดาบตัดแขนขวาของนางขาด  แล้วนำไป   มีเลือดหยดตลอดทาง"  นางสะดุ้งตกใจกลัว  ลุกขึ้นคลำแขนขวาของนาง  จึงรู้ว่าเป็นความฝัน  นางเฝ้าแต่ตรึกตรองอยู่ว่า  ความฝันนี้ร้ายมาก  อาจเป็นอันตรายแก่ลูกทั้ง  ๔  ก็เป็นได้  นางคิดถึงพระภูริทัตยิงกว่าผู้อื่น  เพราะว่าผู้อื่นยังอยู่ในนาคพิภพทั้งนั้น  แต่พระภูริทัตไปทำอุโบสถอยู่ในโลกมนุษย์  หมองูหรือครุฑอาจจับเอาไปเสียกระมัง  พอล่วงไปประมาณหนึ่งเดือน  นางก็ยิ่งเศร้าใจยิ่งหนักขึ้น  คิดว่า  บุตรของเราไม่เคยหายหน้าไปเกินหนึ่งเดือนเลย  บุตรของเราอาจได้รับอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งแน่  นางเฝ้าแต่เรำพึงอยู่อยางนี้จนแทบหัวใจจะวาย  เพราะความเหือดแห้ง  ตาทั้งสองก็ฟกบวมเบ่งขึ้นมา  นางเฝ้ามองดูทางที่พระภูริทัตเคยมา  นึกคำนึงอยู่แต่ว่าบุตรกำลังมาแล้ว

ฝ่ายสุทัศนืบุตรคนใหญ่  เมื่อถึงกำหนดเดือนหนึ่งก็พาบริษัทไปเยี่ยมพระมารดา  แต่นางสมุททชาก็มิได้ปราศรัยด้วย  สุทัศน์สงสัยยิ่งพระพักตร์ของพระมารดาฟกช้ำไม่ผ่องใสก็ยิ่งแน่ใจว่า  ต้องมีใครมาทำให้มารดาโกรธเป็นแน่  หรือมิฉะนั้นก็คงเกิดอันตรายอันใดขึ้น  จึงทูลถามพระมารดา  นางสมุททชาจึงเล่าให้บุตรฟังตั้งแต่ต้นจนจบแล้วชวนว่า  "เราไปยังที่อยู่ของภูริทัตกันเดี๋ยวนี้เถอะ  จะได้ดูน้องของเจ้าว่าเป็นอย่างไรไป"

ฝ่ายนางนาคมาณวิกาที่ไปปฏิบัติพระภูริทัตทุก ๆ  เช้านั้น  เมื่อไม่เห็นพระภูริทัตที่จอมปลวก  ก็เข้าใจว่า  พระภูริทัตคงจะไปอยู่กับพระมารดา  เมื่อพระมารดาพาบริวารมาตามพระภูริทัตถึงนิเวศน์เช่นนั้น  จึงรู้ว่า  แม้พระมารดาก็ไม่ได้พบพระภูริทัตเช่นกัน  จึงออกไปต้อนรับและกราบทูลให้ทราบ  แล้วก็คร่ำครวญรำพันอยู่แทบเท้านางสมุททชา

นางสมุททชาพร้อมด้วยสะใภ้ทั้งหลาย  ต่างร้องไห้เดินรำพันพากันขึ้นไปบนปราสาทของพระภูริทัต  แลดูเห็นที่นั่ง ที่นอนว่างเปล่า  ทันใดนั้นนิเวศน์ของพระภูริทัตก็แซ่เสียงโศกศัลย์ปานคลื่นในมหาสมุทร  แม้สักตนหนึ่งก็ไม่มีใครทรงกายอยู่ได้  ทั่วทั้งนิเวศน์เป็นเหมือนป่าไม้รังถูกลมพายุล้มระเนระนาดลงฉันนั้น

ฝ่ายพี่น้องอีก  ๒  คน  คือ  อริฏฐะและสุโภคะก็พากันเฝ้าพระชนกชนนีได้ยินเสียงสนั่นไปดังนั้น  จึงเข้าไปในนิเวศน์พระภูริทัตเพื่อช่วยกันปลอบพระมารดา  แต่พระมารดากลับกล่าวว่า  ถ้าพระนางไม่ได้พบภูริทัตคืนวันนี้แล้ว  ก็ไม่แน่นักว่าจะมีชีวิตอยู่อีกได้หรือไม่  บุตรทั้ง  ๓  จึงกล่าวรับรองว่า  "พระมารดาอย่าเศร้าโศกเลย  ลูกทั้ง  ๓  จะเที่ยวสืบเสาะหาพระภูริทัตมาภายใน  ๗  วันนี้"

บุตรทั้ง  ๓  จึงได้แยกกันไปค้นหา  ตกลงกันว่า  ผู้หนึ่งไปเทวโลก  ผู้หนึงไปป่าหิมพานต์  อีกผู้หนึงไปมนุษยโลก  สำหรับอริฏฐะนั้นเป็นผู้หยาบช้ากล้าแข็ง  ถ้าจะให้ไปมนุษยโลก  หากได้พบพระภูริทัตที่บ้านหรือเมืองดเข้าก็จัดเผาบ้านหรือเมืองนั้นให้พินาศไป  จึงให้ไปยังเทวโลก  ให้สุโภคะไปยังป่าพิมพานต์  ส่วนสุทัศน์เองจะไปมนุษยดลก  จึงแปลงเพศเป็นดาบส  เพราะเพศดาบสบรรพชิตย่อมเป็นที่รักใคร่เจริญใจของมนุษย์

ยังมีนางนาคน้องสาวต่างมารดากันกับพระภูริทัตตนหนึง  ชื่อ นางจิมุชี  นางนี้รักพระภูริทัตมาก  ขออาสาติดตามสุทัศน์ไปตามหาพี่ชายในมนุษยโลกด้วย  โดยแปลงเพศเป็นเขียดนอนไปในชฏาของสุทัศน์

สุทัศน์ได้ออกติดตามตรวจตราไปจนถึงที่พระภูริทัตรักษาอุโบสถ  แลเห็นเลือดและเถาวัลย์อยู่บนจอมปลวก  ก็รู้ได้ว่า  พระภูริทัตถูกหมองูจับไปแล้ว  สงสารน้องชายจนน้ำตาไหล  แล้วก็เดินสะกดตามรอยไปจนถึงที่อาลัมพายน์ให้พระภูริทัตแสดงครั้งแรก  เที่ยวถามชาวบ้านดูว่า  เห็นหมองูเอานาคมีลักษณะอย่างนี้มาเล่นในบ้านนี้บ้างหรือไม่ ?  ชาวบ้านก็บอกให้ฟังโดยลำดับ  สุทัศน์ก็ติดตามเรื่อยไปจนถึงประตูพระราชฐานในวันที่จะมีการแสดงของนาคให้พระเจ้าพาราณสีและประชาชนชมพอดี


..............................





วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต ตอน พญาครุฑ (หน้า ๒)



พญาครุฑ  (ต่อ)

"คนประทุษร้ายมิตร  สละความเกื้อกูล  จะต้องไปหมกไหม้ในนรกอันแรงร้าย  แผ่นดินย่อมคุ้มครองคนอย่างนั้นไว้ไม่ได้  หรือเมื่อมีชีวิตอยู่ก็ซูบซีด  ถ้าพ่ออยากได้ทรัพย์  พระภูริทัตจะประทานให้  ถ้าพ่อทำร้ายท่าน  พ่อจะประสบเวรที่ทำไว้"  โสมทัตใหสติพ่อ

"ดูก่อนโสมทัต  เราเป็นพราหมณ์  บูชามหายัญแล้วยอมบริสุทธิ์จากบาปได้  เราทำผิดต่อพระภูริทัตแล้วบูชามหายัญเสียก็พ้นบาป"

"เอาเถอะ  ถ้าอย่างนั้น  เราก็ต้องแยกทางกัน  ลูกจะไม่เดินร่วมทางกับพ่อผู้ทำบาปหยาบช้าอย่างนี้อีกแม้ก้าวเดียว"

เมื่อโสมทัตกล่าวดังนี้  และเห็นว่าถึงอย่างไรก็ไม่สามารถจะยังยั้งความคิดของบิดาได้  จึงร้องประกาศขึ้นด้วยเสียงดังว่า  "ข้าพเจ้าจะไม่ไปกับคนทำบาปอย่างนี้อีกละ"  แล้วก็หนีบิดาไปต่อหน้า  เข้าไปในปาหิมพานต์บรรพชาเป็นฤษี  ทำอภิญญาและสมาบัติให้เกิดมิได้เสื่อมคลาย  แล้วก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก

ข้างพราหมณ์เนสาทคิดเสียว่า   โสมทัตจะไปไหนนอกจากบ้าน  ครั้นเห็นท่าทางอาลัมพายน์ไม่พอใจจึงปลอบว่า  "ท่านอย่าวิตกไปเลย  เราจะชี้ภูริทัตให้"  ว่าแล้วก็พาไปยังที่รักษาอุโบสถของพญานาค  เห็นพญานาคนอนขดอยู่บนจอมปลวก  หยุดยืนอยู่ในที่ไม่ไกลนัก  แล้วเหยียดมือออกกล่าวว่า

"ท่านจงจับเอานาคใหญ่นั้น  แล้วส่งแก้วมณีมาให้เราเถิด"

พระภูริทัตลืมตาขึ้นและเห็นพราหมณ์เนสาท  จึงคิดว่า  "เราได้คิดแล้วไม่ผิดเลยว่าอีตาพราหมณคนนี้จะต้องมาทำอันตรายแก่อุโบสถของเรา  เราจึงได้พาไปยังนาคพิภพ  ให้ทั้งยศทั้งสมบัติเป็นอันมาก  ครั้นให้แก้วมณีแกก็ไม่รับ ทำเป็นคนมักน้อยและบอกว่าจะออกบวช  บัดนี้กลับไปหาหมองูมา  พราหมณ์เป็นคนประทุษร้ายมิตร  ถ้าเราโกรธศีลของเราก็จะขาด  เราได้อธิษฐานอุโบสถประกอบด้วยองค์  ๔  ไว้แล้ว  จะต้องรักษาไว้ให้ได้  ถึงหมองูนี้จะตัด  จะเผา  จะฆ่า  หรือจะแท่งเราก็ตามทีเถิด  เราจะไม่โกรธแกเลย  หากเราจะจ้องดูแกด้วยความโกรธ  แกก็จะพินาศย่อยยับเป็นขี้เถ้าไป  ช่างเถอะ"  คิดดังนั้นแล้วก็หลับตา  จับหางยกให้ศีรษะเข้าไว้ภายในขนด  นอนนิ่งมิได้ติงกาย

พราหมณ์อาลัมยน์ก็ร่ายมนต์ขยับเข้าไปใกล้พระภูริทัต  จับหางกระชากออกมา  แล้วกดศีรษะไว้อย่างแน่น  งัดปากให้อ้าเคี้ยวยาบ้วนลงไปในปากพระภูริทัต  จับหางยกให้ศีรษะลงต่ำ  เขย่าให้สำรอกอาหารออกจนหมด  แล้ววางเหยียดยาวบนพื้นดิน  เหยียบย่ำจนพระภูริทัตรู้สึกเจ็บปวดประหนึ่งว่ากระดูกจะแตกออกไป  ตาแกจับหางยกขึ้นฟาดลงกับแผ่นดินเหมือนฟาดผ้า  พระภูริทัตได้รับทุกขเวทนาถึงปานนั้นก้มิได้โกรธ

พราหมณ์อาลัมพายน์ทรมานพระภูริทัตจนหมดกำลัง  แล้วเอาเถาวัลย์มาถักเป็นกระโปรง  จับพระภูริทัตยัดใสลงไป  แต่ลำตัวพระภูริทัตใหญ่เข้ากระโปรงไม่ได้  อาลัมพายน์จึงใช้ส้นเท้าถีบเข้าไปจนได้  เสร็จแล้วตาแกก็แบกกระโปรงเข้าไปหมู่บ้านแหงหนึ่ง  วางกระโปรงลงกลางบ้าน  ประกาศว่่า  "ใครจะดูนาครำก็เชิญมาดู"  ชาวบ้านพากันมาล้อมดู  เมื่ออาลัมพายน์เห็นคนมามุงดูกันมากพอสมครแล้ว  จึงเรียกนาคออกจากกระโปรง


................................

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต (หน้า ๑)


พญาครุฑ

ครั้งนั้น  มีครุฑตนหนึ่งอยู่ที่ต้นงิ้วทางมหาสมุทรภาคใต้  ใช้ปีกกระพือลมแหวกน้ำในมหาสมุทรลงไปจับนาคราชได้ตัวหนึ่ง  แต่จับทางศีรษะ  (เพราะสมัยนั้นครุฑยังไม่รู้จักวิธีจับนาค)  ปล่อยหางห้อยลงมา  พาบินไปเหนือป่าหิมพานต์  ครั้งนั้น  มีพราหมณ์ชาวกาสิกรัฐผู้หนึ่ง  บวชเป็นฤษีสร้างบรรณศาลาอยู่ในป่าหิมพานต์  ด้านหนึ่งของที่จงกรมของฤษีนั้นมีต้นไทรใหญ่  ซึ่งเป็นที่พักสบายของฤษีตอนกลางวัน  พอครุฑหิ้วนาคผ่านมาถึงยอดไทรใหญ่ต้นนั้น  นาคก็เอาหางพ้นกิงไทรไว้เพื่อจะให้หลุดพ้นจากครุฑ  แต่กำลังบินของครุฑมีมาก  ต้นไทรนั้นก็ถอนรากติดหางนาคไปด้วย  พอไปถึงต้นงิ้วใหญ่ที่อาศัยก็ฉีกท้องนาคกินแต่มันเหลว  แล้วทิ้งร่างลงไปในท้องมหาสมุทร  ต้นไทรที่ติดหางนาคก็ตกลงเสียงดังสนั่น  พญาครุฑสงสัยว่า  เสียงอะไร  พอมองเห็นต้นไทรก็นึกได้โดยถ่องแท้ว่า  เป็นต้นไทรที่ท้ายจงกรมของพระดาบส  เกิดสงสัยว่า  ตนจะเป็นผู้ทำอกุศลหรือไม่หนอ  คิดแล้วจึงแปลงเพศเป็นมาณพน้อยไปยังสำนักพระดาบส  ขณะนั้น  พระดาบสกำลังปราบที่ให้ราบอยู่  มาณพน้อยจึงถามว่า  "ที่เดิมตรงนี้เป็นอะไร ?"  ดาบสจึงเล่าให้ฟังตามความจริง  มาณพจึงถามว่า  "อกุศลกรรมจะมีแก่แก่พญาครุฑหรือไม่ ?"

"อกุศลกรรมไม่มี  เพราะไม่มีเจตนา"  ดาบสตอบ

"อกุศลกรรมก็คงมีแก่พญานาคตัว้น ?"  พญาครุฑถาม

"นาคตัวนั้นจับต้นไทรมิใช่เพื่อจะทำลาย  แต่เพื่อจะให้พ้นภัย  ฉะนั้น  อกุศลกรรมก็ไม่มีแก่นาคเหมือนกัน"  ดาบสตอบ

มาณพน้อยได้ฟังพระดาบสกล่าาวดังนั้นก็ยินดี  จึงกล่าวว่า  "ข้าพเจ้านี้แหละคือพญาครุฑนั้น  ข้าพเจ้ายินดีในการแก้ปัญหาของท่าน  ข้าพเจ้าจะถวายมนต์บทหนึ่ง  ชื่อ  "อาลัมพายน์"  เป็นมนต์หาค่ามิได้"  พระดาบสกล่าวว่า  "ช่างเถอะ  เราไม่ต้องการมนต์เลย  ท่านจงไปเถอะ"  แต่พญาครุฑก็วิงวอนถวายมนต์ให้พระดาบสรับไว้จนได้

ยังมีพราหมณ์คนหนึ่งอยู่ในเมืองพาราณสี  หยิบยืมหนี้สินเขาไว้มากมาย  ครั้นเจ้าหนี้ทวงถามมากเข้าก็คิดไปว่า  "เราจะอยู่เมืองนี้อีกทำไม  เข้าไปตายเสียในป่าจะดีกว่า"  คิดแล้วก็ออกจากบ้านไป  เข้าไปในป่าจนบรรลุถึงอาศรมพระดาบส  จึงเลยอยู่ปฏิบัติพระดาบส  จนพระดาบสพอใจคิดว่าพราหมณ์ผู้ี้มีอุปการะแก่เรามาก  เราจะให้มนต์ที่พญาครุฑให้ไว้แก่พราหมณ์นี้  แล้วก็ให้พราหมณ์เรียนมนต์  ชื่อ  "อาลัมพายน์"  นั้น  ทำให้พราหมณ์มองเห็นอุบายที่จะเลี้ยงชีพต่อไป  และคิดที่จะลาพระดาบสไปเสีย  ต่อมาอีกสักเล็กน้อยก็อ้างเหตุผลลาพระดาบสไป  เมื่อได้รับอนุญาตแล้วก็เดินออกจากป่าไปจนถึงฝั่งแม่น้ำยมุนา  เดินสาธยายมนต์นั้นไปตามทาง

ขณะนั้น  นางนาคมาณวิกาบริวารของพระภูรทัตพากันถือเอาดวงแก้ววิเศษออกจากนาคพิภพมา  แล้ววางแก้วไว้บนกองทรายริมฝั่งแม่น้ำ  พากันลงเล่นน้ำตลอดคืน  ครั้นรุ่งอรุณก็ขึ้นจากน้ำมานั่งล้อมแก้วมณีนั้น  เพื่อให้แสงแก้วเข้าสู่กาย  พอพราหมณ์เดินสาธยายมนต์มาถึง  นางนาคมาณวิกาได้ยินเสียงมนต์ก็นึกว่า  พราหมณ์นั้นเป็นพญาครุฑ  ตกใจกลัวความตาย  รีบแทรกแผ่นดินหนีไปยังนาคพิภพ  ลืมหยิบแก้วมณีนั้นไปด้วย  พราหมณ์เห็นแก้วมณีก็ดีใจหยิบเอาไป

ฝ่ายพราหมณ์เนสาทกับโสมทัตซึ่งกำลังออกล่าเนื้ออยู่ในป่า  เห็นพราหมณ์ผู้นั้นถือแก้วมณีเดินมา  จึงพูดกับบุตรว่า  "แก้วดวงนี้เป็นดวงที่พระภูริทัตให้เรามิใช่หรือ ?"  บุตรว่า  "ใช่แล้วพ่อ"  "ถ้าอย่างนั้นเราจะหลอกเอาเสีย"  บุตรจึงพูดว่า  "เวลาพระภูริทัตให้ก็ไมรับ  เดี๋ยวนี้กลับจะหลอกพราหมณ์เอาเสียอีกเล่า  อย่าเลยพ่อ"  พราหมณ์จึงว่า  "ช่างเถอะ  คอยดูพ่อจะหลอกพราหมณ์คนนี้เอาแก้วมณีเสีย"  แล้วก็เข้าไปพูดกับพราหมณ์นั้นว่า  "แก้วมณีมีสิริมงคล  ทำให้เกิดความรื่นรมย์ใจ  ที่ท่านถืออยู่นี่  เดิมเป็นของใคร ?"

"เดิมเป็นของพวกผู้หญิงตาแดงนั่งล้อมกันอยู่  เราเดินมาก็พอดีได้ในวันนี้เอง"  พราหมณ์ตอบ

พราหมณ์เนสาท  "แก้วนี้  ถ้าเคารพ  บูชา  ประดับและเก็บรักษาดีก็จะให้คุณ  ถ้ารักษาไม่ดีก็จะมีแต่ความพินาศ  ผู้ไม่ฉลาดไม่ควรมีไว้  เราจะให้ทองแก่ท่านร้อยแท่ง  ท่านจงให้แก้วนี้แก่เราเถิด"

พราหมณ์  "ของดีมีค่าอย่างนี้  ไม่ควรแลกเปลี่ยนกันด้วยทรัพย์สินใด ๆ  ทั้งนั้น  เราไม่ขายให้"

พราหมณ์เนสาท  "ถ้าเช่นนั้น  ท่านต้องการอะไรเล่า ?"

พราหมณ์  "เราต้องการจะรู้ที่อยู่ของพญานาคผู้มีฤทธิ์มากกว่านาคใด ๆ  ใครบอกแก่เราได้  เราจะให้แก่ผู้นั้น"

พราหมณ์เนสาท  "อ้อ  นี่ท่านเป็นพญาครุฑเที่ยวแสวงหานาคเป็นภักษาหารของตนหรือ ?"

"เปล่าเลย  เรามิได้เป็นครุฑ  และไม่เคยเป็นครุฑ  แต่เราเป็นหมองูสนใจพิษงู"  พราหมณ์ตอบ

"เราขอถามท่านหน่อยเถอะ  ท่านมีกำลังเพียงไร  มีศิลปศาสตร์อะไรหรือมีคุณวิเศษอันใด  จึงไม่กลัวเกรงนาค ?"  พราหมณ์เนสาทถาม

"เรามีคุณวิเศษจากมนต์ชื่อ  'อาลัมพายน์'  ซึ่งได้เรียนมาจากพระดาบส  ชื่อ  โกสียโคตร  เราเป็นอาจารย์ที่สามารถฆ่าสัตว์มีพิษร้ายไดด้วยมนต์นี้"  พราหมณ์ตอบ

พราหมณ์เนสาทเห็นทางจะได้แก้ว  จึงปรึกษากับบุตรว่า  "เราเอาแก้วนี้สิโสมทัต  เมื่อมีโอกาสแล้วไม่ควรจะปล่อยให้หลุดมือไป"  แต่ลูกคัดค้านว่า  "พ่อจ๋า  เราไปถึงที่อยู่ของพระภูริทัต  และเราก็บูชาท่าน  ทำไมพ่อจึงคิดประทุษร้ายต่อผู้มีความดีแก่เราด้วยความหลงอย่างนี้  ถ้าพ่ออยากได้ทรัพย์สมบัติอันใด  ก็ไปหาท่านสิ  ท่านคงจะให้และจะให้มาก ๆ  ด้วย"

"เจ้าโสมทัต  เจ้าอย่ามารู้ดีไปกว่าพ่อ  เราควรกินของสุกซึ่งมีอยู่ในภาชนะที่ถึงมือเรา  อยาปล่อยให้ประโยชน์ที่เห็นประจักษ์ตาล่วงพ้นผ่านไปเสียเลย"  พราหมณ์เนสาทบอกลูก


.........................................

(ยังมีต่ออีก)












วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต (หน้า ๕)



พราหมณ์เนสาท  (ต่อ)

พระภูริทัตได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า  "ดูก่อนพราหมณ์  ยศศักดิ์ของเราถ้าเทียบเท่ากับของท้าวโกสีย์แล้วก็นับว่าเลวมาก  เหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดข้างภูเขาสิเนรุ  แม้เพียงคนใช้ของท้าวโกสีย์เราก็เปรียบไม่ถึง  เราต้องการจะได้ทิพยสมบัติเช่นเทวดานั่นสิ  จึงได้ไปรักษาอุโบสถอยู่บนจอมปลวก"

พราหมณ์เนสาทเห็นได้ช่องจึงทูลว่า  "ข้าพระองค์กับบุตรออกป่าเสาะหาเนื้อมานานวันแล้ว  พวกญาติทางบ้านไม่รู้ว่า  เป็นตายร้ายดีอย่างไรข้าพระองค์อยากจะทูลลากลับไปยังมนุษยโลก  ขอพระองค์ได้โปรดอนุญาตให้ข้าพระองค์ได้กลับไปเถิด"

"เมื่อเราได้ให้ความสุขสำราญแก่ท่านด้วยทรัพย์สมบัติ  อันจะหาไม่ได้ในมนุษยโลกถึงปานนี้แล้ว  เมื่อท่านไม่ปรารถนาจะอยู่เราก็อนุญาต  และเราจะให้แก้วมณีแก่ท่านไปด้วย  เมื่อปรารถนาสิ่งใด  ก็จงระลึกเอาและจะได้สมประสงค์ทุกประการ"

"ข้าแต่พระภูริทัต  พระองค์ตรัสมาดังนั้น  ก็นับว่าเป็นส่วนกุศลที่น่ายินดีอย่างยิ่งแล้ว  แต่ข้าพระองค์แก่แล้ว  มิได้ประสงค์สิ่งอันใดให้มากต่อไปอีก  นอกจากจะบวช"

"ถ้าท่านพราหมณ์รักษาพรหมจรรย์ไว้ไม่ได้  และเกิดความจำเป็นอันใดขึ้น  ก็อย่าอำความไว้  จงมาหาเรา"  พระภูริทัตตรัสบอกแก่พราหมณ์

เมื่อพราหมณ์รับคำแล้ว  พระภูริทัตก็ตรัสเรียกนาคมาณพมา  สั่งให้พาพราหมณ์ไปส่งยังมนุษยโลก  พอถึงมนุษยโลกขณะที่กำลังเดินทางไปบ้าน  พราหมณ์ก็ได้ชี้บอกลูกชายว่า  "เราเคยมายิงเนื้อสุกรที่นี่"  พอถึงสระโบกขรณีแห่งหนึ่งก็ชวนลูกชายลงอาบน้ำ  ขณะนั้นเครื่องประดับและผ้าทิพย์ก็อันตรธานหายกลับไปยังนาคพิภพ  ผ้าชุดเก่าที่เคยนุ่งห่มมาแต่ก่อน  พร้อมทั้งธนูศรและหอกก็ปรากกมีมาตามเดิม  โสมทัตลูกชายจึงร้องไห้ด้วยความเสียดาย  พราหมณ์บิดาจึงปลอบว่า  "เจ้าอย่าวิตกไปเลย  ตราบใดที่เนื้อในป่ายังมีอยู่  เราก็จักฆ่ามาเลี้ยงชีพกันต่อไป"  แล้วสองพ่อลูกก็เดินทางกลับบ้าน

ฝ่ายนางพราหมณีก็ต้อนรับสามีและบุตรชาย  จัดหาอาหารมาเลี้ยงดูจนอิ่มหนำสำราญ  พรหมณ์เน
สาทอิ่มแล้วก็หลับไป  นางจึงถามโสมทัตว่า  "เจ้ากับพ่อเจ้าไปไหนมาช้านานถึงเพียงนี้ ?"  โสมทัตจึงเล่าให้ฟังโดยตลอด  นางจึงถามต่อไปว่า  "นี่เจ้าได้อะไรติดมือมาบ้างหรือเปล่า ?"  โสมทัตจึงเล่าว่า  "พระภูริทัตจะให้แก้วสารพัดนึกแก่พ่อ  แต่พ่อไม่รับเอา  กลับบอกเสียว่าแก่แล้วจักออกบวช"  นาง
พราหมณีได้ฟังดังนั้นก็โกรธ  ว่าพราหมณ์นี้ทิ้งทารกให้ตกเป็นภาระเลี้ยงดูแก่เรา  และไปอยู่เสียในนาคพิภพนมนาน  ครั้นกลับมาก็จะออกบวชเสียอีกเล่า  จึงตีพราหมณ์สามีด้วยขอฉาย (ไม้สงฟางข้าว)  พร้อมกับบริภาษว่า  "อ้ายพราหมณ์ชั่วร้าย  ได้ยินว่าจะบวชรึ ?"  พระพภูริทัตให้แก้วมณีก็ไม่เอา  ทำไมไม่บวชเสียที่นั่นเล่า  กลับมาที่นี่ทำไม ?"  พราหมณ์สามีกำลังหลับเมื่อถูกตีก็ตกใจลุกขึ้นปลอบภรรยาว่า  "แม่พราหมณีจ๋า  อย่าวิตกไปเลย  ตราบใดที่เนื้อในป่ายังมีอยู่  ข้าก็จะไปหามาเลี้ยงเจ้า"  ว่าแล้วก็ชวนลูกออกป่าล่าสัตว์  ดำเนินชีวิตแบบเก่าต่อไปตามเดิม


....................................


คัดจาก....หนังสือทศชาติชาดก (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนนธิรักษ์