พระเจ้าโกรพย์ทอดพระเนตรเห็นมาณพท้าเล่นพนัน จึงตรัสถามว่า "ท่านเป็นใครจึงกล้าหาญเช่นนี้ ?"
ปุณณกยักษ์ "ข้าพระองค์เป็นมาณพที่ต้องการจะเล่นสกาท้าพนัน พระเจ้าข้า"
พระเจ้าโกรพย์ "ท่านมีอะไรจะให้เรา ถ้าเราชนะ ?"
ปุณณกยักษ์ "ข้าพระองค์มีแก้วมณีวิเศษอันเป็นของพระเจ้าจักรพรรดิและม้าวิเศษนี้ ซึ่งสามาถชนะไพรีได้ทั่วพิภพ พระเจ้าข้า"
พระเจ้าโกรพย์ "ดูก่อนมาณพ แก้วมณีของเรามีอยู่มากมาย ม้าอาชาไนยมีกำลังเร็วดังลมกรดก็มีอยู่แล้วมิใช่น้อย แก้วมณีของเจ้าดวงหนึ่งกับม้าตัวหนึ่ง จะมีความหมายอะไรกับเรา"
"พระองค์ไม่น่าจะตรัสดังนั้นเลย ม้าของข้าพเจ้าตัวเดียวเท่ากับม้าพันตัวของพระองค์" ปุณณกยักษ์ทูลอย่างมั่นใจ "ขอพระองค์ทอดพระเนตรดูก่อนเถิด" ว่าแล้วก็ขับม้าของตนปีนบนกำแพงวิ่งวนรอบพระนคร ความเร็วของม้าทำให้ปรากฏแก่สายตาเหมือนกับม้าพันตัวเอาคอจดกันเรียงล้อมรอบพระนครนั้น เมื่อปุณณกยักษ์เร่งม้าให้เร็วขึ้นอีก ก็มองไม่เห็นม้าและคน คงเห็นแต่ผ้าแดงที่คาดพุงปุณณกยักษ์ ปรากฏเหมือนผ้าผืนเดียววงรอบพระนคร "ข้าแต่มหาราช พระองค์ทอดพระเนตรเห็นความเร็วของม้าแล้วหรือ ?"
"เออ มาณพ เราเห็นแล้ว" พระราชาตรัส
"ขอจงทอดพระเนตรดูอีกว่า มาของข้าพระองค์นี้มีความสามารถยอดเยี่ยมเพียงใด" ปุณณกยักษ์ทูลแล้วก็ขับม้าให้วิ่งข้ามสระใหญ่ในพระราชอุทยาน ความเร็วของม้านั้นปรากฏว่า ปลายกีบมิทันเปียกน้ำในสระเลย จากนั้นก็ควบไปบนใบบัว ตบมือแล้วเหยียดมือออก ม้าวิ่งเผ่นมาหยุดอยู่บนฝ่ามือ ครั้นแล้วก็กราบทูลว่า "พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งนรชน ม้าอย่างนี้ควรจะเป็นม้าแก้วได้หรือไม่ พระเจ้าข้า ?"
"ควรทีเดียว พ่อมาณพ" พระราชาตรัส
"ข้าแต่พระมหาราช สำหรับม้าแก้วพอเพียงเท่านี้ก่อน ขอพระองค์จงทอดพระเนตรดูอานุภาพของแก้วมณีบ้าง" ทูลแล้วก็แสดงอานุภาพแก้วมณีให้ปรากฏเป็นรูปสตรีและบุรุษจำนวนมาก เป็นหมูเนื้อและหมู่นก เป็นพญาาค พญาครุฑ เป็นกองช้าง กองรถ กองม้า กองเดินเท้า เป็นกรมช้าง กรมราชองครักษ์ กรมม้า กรมรถ กรมเดินเท้า เป็นนครใหญ่ มีกำแพงและเสาค่ายสูง ประกอบด้วยป้อมและเชิงเทินน่าเกรงขาม มีถนนหนทาาง ๓ แพร่ง ๔ แพร่ง มีหมู่บ้านร้านตลาด พ่อค้าแม่ค้า ประชาชนต่างชั้นวรรณะ มีการเล่นดนตรี เล่นมหรสพต่าง ๆ มีมวยปล้ำ นักรำนักร้อง มีบุรุษรูปงามกำลังล่อลวง หญิง หญิงรูปงามแต่ใจร้ายกำลังล่อลวงชาย มีสวนสัตว์ประกอบด้วยเชิงเขาเป็นที่อยู่ของราชสีห์ เสือโคร่ง เสือดาว แรด โค สุกร ละมั่ง อีเก้ง กวาง ระมาด ชะมด แมวป่า กระต่าย กระแต มีแม่น้ำสวยงาม มีฝูงลานานาพรรณ มีหิมวันตบรรพตซึ่งเกลื่อนกล่นด้วยเหล่ากินนร มีปราสาทราชมนเฑียรอันรุ่งเรืองสุกใส มีเหล่าเทพกัญญาทรงโฉมวิไลแวดล้อมเหล่าเทพบุตร ฯลฯ
เมื่อปุณณกยักษ์แสดงอภินิหารแก้วมณีอันแสนมหัศจรรย์อย่างนี้แล้ว จึงทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้จอมชน บุคคลใดชนะข้าพเจ้าด้วยสกา ข้าพเจ้าจะยกแก้วมณีดวงนี้ให้เป็นค่าพนัน ถ้าพระองค์ชนะข้าพเจ้าก่อน ข้าพเจ้ามีแก้วมณีนี้ถวาย แต่ถ้าข้าพเจ้าชนะ พระองค์จะพระราชทานอะไร พระเจ้าข้า ?"
พระเจ้าโกรพย์ "ดูก่อนพ่อมาณพ ยกเว้นตัวเรา เศวตฉัตร และอัครมเหสีเสีย นอกนั้นเราจะยกให้เป็นค่าพนันทั้งนั้น"
"ถ้ากระนั้น ก็อย่าทรงชักช้าอยู่เลย" ปุณณกยักษ์เร่งรัด
จากนั้นการแข่งขันสการะหว่างพระเจ้าโกรพย์กับมาณพปุณณกยักษ์ก็เริ่มขึ้นท่ามกลางพระราชา ๑๐๑ และมหาชนมากมาย พระราชาเป็นฝ่ายทอดสกาก่อน พระองค์ทรงหยิบลูกสกาขึ้นมา แล้วทรงขับเพลงสการะลึกถึงอารักขเทวดาและเทพธิดาตนหนึ่ง ขอให้ช่วยให้มีชัยชนะ แล้วโยนลูกสกาขึ้นไปในอากาศ ด้วยอานุภาพของปุณณกยักษ์ลูกสกาขึ้นแต้มแพ้ แต่อารักขเทวดาช่วยให้พระองค์รู้ทันและรีบรับเอาลูกสกาไว้ได้ จึงทรงโยนใหม่อีกเป็นครั้งที่ ๒ แต้มแพ้ก็พลิกขึ้นมาอีก และก็ทรงรับเองไว้ได้อีก ปุณณกยักษ์แปลกใจจึงเพ่งมองดูว่า นี่อะไรกันหนอ ก็มองเห็นมีอารักขเทวดาคอยช่วยพระราชา
ปุณณกยักษ์จึงถลึงตาดุ อารักขเทวดากลัวตัวสั่นรีบหนีไปสุดเขาจักรวาล ดังนั้น พอพระราชาทอดลูกสกาครั้งที่ ๓ ก็ตกลงมาโดยรับไว้ไม่ได้ แต้มแพ้ก็พลิกขึ้นเห็นชัด
ปุณณกยักษ์ร้องขึ้นด้วยความดีใจว่า "เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว" เสียงปุณณกยักษ์ดังก้องไปทั่วทวีป ราชาทั้ง ๑๐๑ และมหาชนต่างร้องอึงคะนึงด้วยความเสียใจ พระเจ้าโกรพย์ทรงเสียพระทัยเป็นกำลัง ปุณณกยักษ์ผู้ชนะจึงกล่าวตามกฏของการเล่นกีฬาว่า "ท่านผู้เป็นจอมแก่นรชน เราทั้งสองพนันกันด้วยสกาเช่นนี้ ก็ต้องมีข้างใดข้างหนึ่งแพ้หรือชนะเป็นธรรมดา บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้ชนะแล้ว ขอจงพระราชทานทรัพย์อันมีค่านั้นแก่ข้าพเจ้าโดยเร็วเถิด"
พระเจ้าโกรพย์ "ดูก่อนมาณพ ทรัพย์สินสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นช้าง ม้า โ กระบือ แก้วแหวนเงินทองอันใด ที่มีอยู่ในแผ่นดินของเรานี้ ท่านจงขนเอาไปตามปรารถนาเถิด"
ปุณณกยักษ์ "ทรัพย์สินสิ่งใด ข้าพเจ้าไม่ต้องการเลย ขอพระราชทานวิธุรบัณฑิตแก่ข้าพเจ้าก็พอแล้ว พระเจ้าข้า"
พระเจ้าโกรพย์ "ดูก่อนมานณ วิธุรบัณฑิตนั้นเท่ากับตัวของเรา เราได้กล่าวแล้วว่านอกจากตัวเรา เศวตฉัตรและอัครมเหสีแล้ว ยกให้ท่านทั้งนั้นสำหรับวิธุรบัณฑิตนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นตัวของเราอย่างเดียว ยังเป็นที่พึ่งเป็นผู้นำทาง เป็นเกาะแก่ง ที่เร้นลับ และเป็นดวงประทีปอันหาค่ามิได้ ท่านจะเปรียบวิธุรบัณฑิตเป็นทรัพย์ภายนอกหาได้ไม่ เขาเป็นทรัพย์ภายในเท่ากับชีวิตของเรา คือ เป็นตัวของเราเองทีเดียว"
ปุณณกยักษ์ไม่ใช่นักพูด จึงไม่สามารถตอบโต้ขัดแย้งคำพูดของพระราชาได้ ในที่สุดจึงกล่าวขึ้นว่า "ถ้าเราจะโต้เถียงกันไปก็เสียเวลาเปล่า ทางที่ดีต้องให้วิธุรบัณฑิตนั้นแหละเป็นผู้ตัดสิน"
ปุณณกยักษ์ "ข้าพระองค์เป็นมาณพที่ต้องการจะเล่นสกาท้าพนัน พระเจ้าข้า"
พระเจ้าโกรพย์ "ท่านมีอะไรจะให้เรา ถ้าเราชนะ ?"
ปุณณกยักษ์ "ข้าพระองค์มีแก้วมณีวิเศษอันเป็นของพระเจ้าจักรพรรดิและม้าวิเศษนี้ ซึ่งสามาถชนะไพรีได้ทั่วพิภพ พระเจ้าข้า"
พระเจ้าโกรพย์ "ดูก่อนมาณพ แก้วมณีของเรามีอยู่มากมาย ม้าอาชาไนยมีกำลังเร็วดังลมกรดก็มีอยู่แล้วมิใช่น้อย แก้วมณีของเจ้าดวงหนึ่งกับม้าตัวหนึ่ง จะมีความหมายอะไรกับเรา"
"พระองค์ไม่น่าจะตรัสดังนั้นเลย ม้าของข้าพเจ้าตัวเดียวเท่ากับม้าพันตัวของพระองค์" ปุณณกยักษ์ทูลอย่างมั่นใจ "ขอพระองค์ทอดพระเนตรดูก่อนเถิด" ว่าแล้วก็ขับม้าของตนปีนบนกำแพงวิ่งวนรอบพระนคร ความเร็วของม้าทำให้ปรากฏแก่สายตาเหมือนกับม้าพันตัวเอาคอจดกันเรียงล้อมรอบพระนครนั้น เมื่อปุณณกยักษ์เร่งม้าให้เร็วขึ้นอีก ก็มองไม่เห็นม้าและคน คงเห็นแต่ผ้าแดงที่คาดพุงปุณณกยักษ์ ปรากฏเหมือนผ้าผืนเดียววงรอบพระนคร "ข้าแต่มหาราช พระองค์ทอดพระเนตรเห็นความเร็วของม้าแล้วหรือ ?"
"เออ มาณพ เราเห็นแล้ว" พระราชาตรัส
"ขอจงทอดพระเนตรดูอีกว่า มาของข้าพระองค์นี้มีความสามารถยอดเยี่ยมเพียงใด" ปุณณกยักษ์ทูลแล้วก็ขับม้าให้วิ่งข้ามสระใหญ่ในพระราชอุทยาน ความเร็วของม้านั้นปรากฏว่า ปลายกีบมิทันเปียกน้ำในสระเลย จากนั้นก็ควบไปบนใบบัว ตบมือแล้วเหยียดมือออก ม้าวิ่งเผ่นมาหยุดอยู่บนฝ่ามือ ครั้นแล้วก็กราบทูลว่า "พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งนรชน ม้าอย่างนี้ควรจะเป็นม้าแก้วได้หรือไม่ พระเจ้าข้า ?"
"ควรทีเดียว พ่อมาณพ" พระราชาตรัส
"ข้าแต่พระมหาราช สำหรับม้าแก้วพอเพียงเท่านี้ก่อน ขอพระองค์จงทอดพระเนตรดูอานุภาพของแก้วมณีบ้าง" ทูลแล้วก็แสดงอานุภาพแก้วมณีให้ปรากฏเป็นรูปสตรีและบุรุษจำนวนมาก เป็นหมูเนื้อและหมู่นก เป็นพญาาค พญาครุฑ เป็นกองช้าง กองรถ กองม้า กองเดินเท้า เป็นกรมช้าง กรมราชองครักษ์ กรมม้า กรมรถ กรมเดินเท้า เป็นนครใหญ่ มีกำแพงและเสาค่ายสูง ประกอบด้วยป้อมและเชิงเทินน่าเกรงขาม มีถนนหนทาาง ๓ แพร่ง ๔ แพร่ง มีหมู่บ้านร้านตลาด พ่อค้าแม่ค้า ประชาชนต่างชั้นวรรณะ มีการเล่นดนตรี เล่นมหรสพต่าง ๆ มีมวยปล้ำ นักรำนักร้อง มีบุรุษรูปงามกำลังล่อลวง หญิง หญิงรูปงามแต่ใจร้ายกำลังล่อลวงชาย มีสวนสัตว์ประกอบด้วยเชิงเขาเป็นที่อยู่ของราชสีห์ เสือโคร่ง เสือดาว แรด โค สุกร ละมั่ง อีเก้ง กวาง ระมาด ชะมด แมวป่า กระต่าย กระแต มีแม่น้ำสวยงาม มีฝูงลานานาพรรณ มีหิมวันตบรรพตซึ่งเกลื่อนกล่นด้วยเหล่ากินนร มีปราสาทราชมนเฑียรอันรุ่งเรืองสุกใส มีเหล่าเทพกัญญาทรงโฉมวิไลแวดล้อมเหล่าเทพบุตร ฯลฯ
เมื่อปุณณกยักษ์แสดงอภินิหารแก้วมณีอันแสนมหัศจรรย์อย่างนี้แล้ว จึงทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้จอมชน บุคคลใดชนะข้าพเจ้าด้วยสกา ข้าพเจ้าจะยกแก้วมณีดวงนี้ให้เป็นค่าพนัน ถ้าพระองค์ชนะข้าพเจ้าก่อน ข้าพเจ้ามีแก้วมณีนี้ถวาย แต่ถ้าข้าพเจ้าชนะ พระองค์จะพระราชทานอะไร พระเจ้าข้า ?"
พระเจ้าโกรพย์ "ดูก่อนพ่อมาณพ ยกเว้นตัวเรา เศวตฉัตร และอัครมเหสีเสีย นอกนั้นเราจะยกให้เป็นค่าพนันทั้งนั้น"
"ถ้ากระนั้น ก็อย่าทรงชักช้าอยู่เลย" ปุณณกยักษ์เร่งรัด
จากนั้นการแข่งขันสการะหว่างพระเจ้าโกรพย์กับมาณพปุณณกยักษ์ก็เริ่มขึ้นท่ามกลางพระราชา ๑๐๑ และมหาชนมากมาย พระราชาเป็นฝ่ายทอดสกาก่อน พระองค์ทรงหยิบลูกสกาขึ้นมา แล้วทรงขับเพลงสการะลึกถึงอารักขเทวดาและเทพธิดาตนหนึ่ง ขอให้ช่วยให้มีชัยชนะ แล้วโยนลูกสกาขึ้นไปในอากาศ ด้วยอานุภาพของปุณณกยักษ์ลูกสกาขึ้นแต้มแพ้ แต่อารักขเทวดาช่วยให้พระองค์รู้ทันและรีบรับเอาลูกสกาไว้ได้ จึงทรงโยนใหม่อีกเป็นครั้งที่ ๒ แต้มแพ้ก็พลิกขึ้นมาอีก และก็ทรงรับเองไว้ได้อีก ปุณณกยักษ์แปลกใจจึงเพ่งมองดูว่า นี่อะไรกันหนอ ก็มองเห็นมีอารักขเทวดาคอยช่วยพระราชา
ปุณณกยักษ์จึงถลึงตาดุ อารักขเทวดากลัวตัวสั่นรีบหนีไปสุดเขาจักรวาล ดังนั้น พอพระราชาทอดลูกสกาครั้งที่ ๓ ก็ตกลงมาโดยรับไว้ไม่ได้ แต้มแพ้ก็พลิกขึ้นเห็นชัด
ปุณณกยักษ์ร้องขึ้นด้วยความดีใจว่า "เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว" เสียงปุณณกยักษ์ดังก้องไปทั่วทวีป ราชาทั้ง ๑๐๑ และมหาชนต่างร้องอึงคะนึงด้วยความเสียใจ พระเจ้าโกรพย์ทรงเสียพระทัยเป็นกำลัง ปุณณกยักษ์ผู้ชนะจึงกล่าวตามกฏของการเล่นกีฬาว่า "ท่านผู้เป็นจอมแก่นรชน เราทั้งสองพนันกันด้วยสกาเช่นนี้ ก็ต้องมีข้างใดข้างหนึ่งแพ้หรือชนะเป็นธรรมดา บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้ชนะแล้ว ขอจงพระราชทานทรัพย์อันมีค่านั้นแก่ข้าพเจ้าโดยเร็วเถิด"
พระเจ้าโกรพย์ "ดูก่อนมาณพ ทรัพย์สินสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นช้าง ม้า โ กระบือ แก้วแหวนเงินทองอันใด ที่มีอยู่ในแผ่นดินของเรานี้ ท่านจงขนเอาไปตามปรารถนาเถิด"
ปุณณกยักษ์ "ทรัพย์สินสิ่งใด ข้าพเจ้าไม่ต้องการเลย ขอพระราชทานวิธุรบัณฑิตแก่ข้าพเจ้าก็พอแล้ว พระเจ้าข้า"
พระเจ้าโกรพย์ "ดูก่อนมานณ วิธุรบัณฑิตนั้นเท่ากับตัวของเรา เราได้กล่าวแล้วว่านอกจากตัวเรา เศวตฉัตรและอัครมเหสีแล้ว ยกให้ท่านทั้งนั้นสำหรับวิธุรบัณฑิตนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นตัวของเราอย่างเดียว ยังเป็นที่พึ่งเป็นผู้นำทาง เป็นเกาะแก่ง ที่เร้นลับ และเป็นดวงประทีปอันหาค่ามิได้ ท่านจะเปรียบวิธุรบัณฑิตเป็นทรัพย์ภายนอกหาได้ไม่ เขาเป็นทรัพย์ภายในเท่ากับชีวิตของเรา คือ เป็นตัวของเราเองทีเดียว"
ปุณณกยักษ์ไม่ใช่นักพูด จึงไม่สามารถตอบโต้ขัดแย้งคำพูดของพระราชาได้ ในที่สุดจึงกล่าวขึ้นว่า "ถ้าเราจะโต้เถียงกันไปก็เสียเวลาเปล่า ทางที่ดีต้องให้วิธุรบัณฑิตนั้นแหละเป็นผู้ตัดสิน"
...........................
(ยังมีต่ออีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น