วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๙ พระวิธุรบัณฑิต (หน้า ๘)


พระราชาได้สดับดังนั้นจึงตรัสว่า  "ท่านวิธุระ  ท่านไม่ไปนั่นแหละเป็นที่พอใจเรา  เราจะให้จับมาณพไปฆ่าเสีย  แล้วปกปิดเนื้อความให้มิดชิด  ท่านจงอยู่ที่นี่แล้วทำอย่างนี้  จึงพอใจเรา  ท่านอย่าไปเลยนะ"

วิธุรบัณฑิต  "ขอเดชะ  ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  พระองค์อย่าทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ในความชั่ว  ที่ไม่เป็นบุญไม่เป็นประโยชน์เลย  พระเจ้าข้า  ขอได้ทรงมั่นอยู่ในทางที่เป็นประโยชน์และสุจริตธรรมเถิด  อกุศลกรรมไม่ใช่สิ่งประเสริฐ  บัณฑิตสอนว่า  ความชั่วเป็นกิจที่ไม่ควรทำ  บัดนี้ข้าพระองค์ก็ตกเป็นทาสของมาณพแล้ว  เขาย่อมมีสิทธิ์จะทำอย่างไรก็ได้  ขอพระองค์จงทรงตั้งพระหฤทัยให้เที่ยงธรรม  ซึ่งเป็นทางเดียวที่ดีที่สุด  พระเจ้าข้า"

เมื่อกราบทูลดังนั้นแล้ว  วิธุรบัณฑิตจึงถวายบังคมลาออกจากพระราชนิเวศน์  ขณะนั้น  ชาวพระนครมากมายได้มาประชุมกันแน่นอยู่นอกพระราชนิเวศน์  และโจษขานกันเซ็งแซ่ว่า  "วิธุรบัณฑิตไปแล้ว ๆ" วิธุรบัณฑิตจึงหยุดปราศรัยให้โอวาทว่า  "ท่านพ่อแม่ญาติมิตรทั้งหลาย  อย่าคิดวิตกไปเลยให้ป่วยการ  สิ่งทั้งมวลล้วนไม่เที่ยง  แม้สังขารร่างกายของเราเองก็ไม่มีอะไรยั่งยืน  ยศศักดิ์เป็นสมบัติที่มีวิบัติเป็นที่สุด  ข้อสำคัญท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทในบุญกุศลทุกอย่าง  บำเพ็ญทานรักษาศีลไว้ได้  จะได้ผลดีเป็นทวีคูณ  คือ  จะมีความสงบสุขทั้งในวันนี้และวันหน้า  ตลอดภพนี้และภพหน้า  นี่แหละเป็นของแน่นอนยั่งยืนแท้จริง"  กล่าวแล้วก็บ่ายหน้ากลับเรือนของตน

ขณะนั้น  ธรรมปาลกุมารพาหมู่น้อง ๆ  ออกมาคอยรับบิดาอยู่ที่ประตูบ้าน  วิธุรบัณฑิตเห็นแล้วไม่อาจกลั้นความโศกไว้ได้  ตรงเข้าสวมกอดไว้แนบอกแล้วอุ้มไปเรือน

"ดุูก่อนเจ้าปราชญ์  เมื่อสั่งสอนบุตรภรรยาและคนอาศัยเสร็จแล้ว  ก็จงรีบมาเถอะ  หนทางที่จะไปยังอีกไกลนัก  อย่าชักช้าอยู่เลย  จับหางม้าเข้าสิไม่ต้องกลัว"  ปุณณกยักษ์เตือน

"ดูก่อนมาณพ  เราพร้อมแล้ว  และไม่กลัวอะไรเลย"  วิธุรบัณฑิตกล่าวด้วยเสียงปรกติ

"เพราะเหตุใดจึงไม่กลัว ?"  ปุณณกยักษ์ถาม

"เพราะเราเป็นคนไม่ทำความชั่วทั้งทางกาย  ทางวาจาและทางใจ  ไม่มีเหตุอันใดที่นำไปสู่ทุคติ  จะสะดุ้งหวาดกลัวทำไมเล่า"  วิธุรบัณฑิตกล่าวอย่างองอาจ  แล้วอธิษฐานว่า  ขอผ้านุ่งของเรานี้จงอย่าหลุดลุ่ยออกจากร่างกายเป็นอันขาด  แล้วนุ่งผ้าให้แน่น  จับหางม้าสองมือ  สองเท้าเกี่ยวขาม้าแน่นแล้วพูดว่า  "ดูก่อนท่านมาณพ  ข้าพเจ้าพร้อมแล้ว  ไปได้"

ปุณณกยักษ์ขับม้าพาพระวิธุระเหาะไปในอากาศอย่างรวดเร็ว  พลางก็คิดว่า  ควรจะทุบวิธุระนี้ให้ตายแล้วแหวะเอาหัวใจไป  ส่วนศพจะทิ้งที่ซอกเขา  คิดแล้วขับม้าเล็ดลอดเข้าไปในระหว่างต้นไม้และระหว่างซอกเขา  เพื่อให้กระทบร่างพระวิธุระให้ตาย  แต่อานุภาพของพระวิธุระ  ต้นไม้และซอกเขากลับแหวกเป็นช่องทางห่างออกจากแนวของท่านข้างละศอก  ปุณณกยักษ์เหลียวกลับมาดูว่า  ตายแล้วหรือยัง  กลับเห็นหน้าพระวิธุระผ่องใสดุจแว่นทอง ก็รู้ว่า  ยังไม่ตาย  จึงขับม้าเข้าไปในซอกเขาอีก ๒ ครั้ง  ก็ยังไม่ตาย  จึงเปลี่ยนวิธีใหม่  ขับม้าพาเข้าไปในลมพายุแม้ถึง  ๗  ครั้งก็ยังไม่ตาย  เมื่อปุณณกยักษ์เห็นเช่นนั้น  จึงขับม้าตรงไปยังภูเขากาฬาคีรี  วางลงบนยอดเขาแล้วไปยืนคิดหาวิธีอยู่ว่าทำอย่างไรจึงจะฆ่าวิธุระให้ตายได้

ปุณณกยักษ์แปลงกายใหญ่่ทะมึน  จับพระวิธุระที่เท้าทั้งสองแล้วยัดใส่ปากทำท่าจะเตี้ยวกิน  พระวิธุระก็ไม่สะดุ้งตกใจแม้แต่น้อย  จากนั้นจึงแปลงร่างเป็นพญาราชสีห์บ้าง  เป็นช้างตกมันวิงเข้ามาจะแทงบ้าง  เป็นงูใหญ่ประมาณเท่าเรือโกลนเลื้อยมาพันไว้รอบ ๆ  แล้วแผ่พังพานอยู่บนศีรษะบ้าง  พระวิธุระก็ยังไม่มีอาการตกใจกลัวแต่ประการใด  จึงวางลงบนยอดเขา  แล้วบันดาลให้เกิดพายุใหญ่พัดแรงกล้า  แล้วชำแรกเข้าไปในแผ่นดิน  ส่งเสียงกึกก้องกัมปนาท  พระวิธุระก็ยังปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เพราะรู้ทันว่า ถึงจะเป็นอะไรมาก็คือมาณพนั่นเอง  ปุณณกยักษ์ยิ่งเพิ่มความพยายามจะฆ่าให้จงได้  จึงจับพระวิธุระขว้างลงไปจากยอดเขา  พอร่างของพระวิธุระลอยไปได้ ๑๕ โยชน์ก็คว้าข้อเท้าดึงกลับมา  ยกเท้าเอาหัวห้อยชูขึ้น  มองดูหน้าว่าตายหรือยัง เห็นว่ายังไม่ตายก็ขว้างออกไปอีกเป็นครั้งที่ ๒   พอไกลออกไปประมาณ ๓๐ โยชน์ก็ฉวยข้อเท้าดึงกลับมายกดูอีก  เห็นยังไ่ม่ตายก็ขว้างออกไปอีกเป็นครั้งที่ ๓  คราวนี้ไกล ๖๐ โยชน์  แต่พอฉวยมาดูอีกก็เห็นว่ายังไม่ตาย  ปุณณกยักษ์จึงจับข้อเท้าตั้งใจจะฟาดกับภูเขา  พระวิธุระจึงร้องถามทั้งที่หัวยังห้อยอยู่ว่า  "ดูก่อนมาณพ  ท่านมีรูปร่างดุจเทพบุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุตร ดูเหมือนจะเป็นคนดี แต่กลายเป็นคนไม่ดี  ดู ๆ  ก็เหมือนกับเป็นผู้สำรวม  แต่ก็ไม่สำรวม  กระทำความชั่วอย่างนี้ไม่มีประโยชน์อันใดเลย  ขอถามท่านหน่อยเถิด  ความจริงท่านเป็นใครกันนะ  และจะฆ่าข้าพเจ้าทำไม ?"

"เราเป็นยักษ์ชื่อปุณณกะ  เป็นอำมาตย์ของท้าวกุเวรเวสวัณ  ซึ่งท่านก็คงเคยได้ยินชื่อ" ปุณณกยักษ์แนะนำตน  แล้วก็เล่าถึงสาเหตุที่เขารับอาสาพญานาคเอาหัวใจของวิธุรบัณฑิตไปให้พระนางวิมลา เพื่อจะได้แต่งงานกับนางอิรันทตีผู้ธิดา"

พระวิธุรบัณฑิตได้สดับดังนนแล้วจึงดำริว่า  "สัตว์โลกเรานี้ย่อมพินาศเพราะความถือผิด  แท้จริงพระนางวิมลาต้องการจะได้ฟังการแสดงธรรมของเรา  แต่พญานาคสำคัญผิด  และปุณณกยักษ์ผู้นี้ก็ตกอยู่ในอำนาจของความหลงผิดด้วย  ถ้าเราจะปล่อยให้ฆ่าเราเสียเพราะความหลงผิดเช่นนี้  จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย  เราหรือก็ได้ชื่อว่า  เป็นผู้สามารถในทางแสดงธรรม  เราจะะตักเตือนเขาให้รู้สึกตัว  เรื่องร้ายจะได้กลายเป็นดี แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า  "ดูก่อนมาณพ  ขอให้ท่านวางข้าพเจ้าลงก่อนเถิด  เราจะแสดงธรรมให้ท่านฟัง  เมื่อท่านฟังแล้ว  ความปรารถนาของท่านก็จะสำเร็จ


...........................

(ยังมีต่ออีก)











วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๙ พระวิธุรบัณฑิต (หน้า ๗)


ราชสวดีธรรม (ต่อ)
 
เป็นข้าราชการ  ต้องบำรุงเลี้ยงมารดาบิดาให้ผาสุก  ผู้หลักผู้ใหญ่ในสกุลควรเกื้อกูลนบนอบให้ชอบธรรม  ควรมีหิริโอตตัปปะเป็นกัลยาณมิตร  บำรุงจิตและความประพฤติให้ดีงาม  ควรมีอาจารสมบัติได้ฝึกหัดไว้เป็นอันดี  มีศิลปะได้ศึกษาพอสามารถในราชกิจ  รู้จักข่มจิตไม่ทำตนให้วิปริตเพราะขาดสังวร 
มีตนได้ฝึกฝนพร้อมทั้งวิทยาและจริยาสมบัติ  เป็นผู้คงที่ไม่แปรผันที่ในคราวสมบัติและวิบัติ (คือ ไม่ดีใจจนลิงโลดเวลามีโชค ไม่เศร้าโศกในเวลาเคราะห์ร้าย)  มีอัธยาศัยอ่อนโยนไม่เย่อหยิ่ง  ไม่ประมาทในราชกิจ  มีความประพฤติสุจริตและขยันไม่เกียจคร้านในการอุปัฏฐาก
 
เป็นข้าราชการ  ควรประพฤติอ่อนน้อม   มีความเคารพยำเกรงในผู้หลักผู้ใหญ่  เป็นคนเรียบร้อยทั้งกายและวาจา  ให้ผู้ที่สมาคมคบหาได้รับความสุขทั้งกายและใจ  ทูตต่างประเทศที่เขาส่งมาด้วยเรื่องเนื่องด้วยความลับ  ควรเว้นให้ห่างไกลอย่าใกล้เคียง  พึงเอาใจใส่ดูแลแต่เจ้าของตน  อย่าสาละวนด้วยคนของราชปรปักษ์
 
เป็นข้าราชการ  เมื่อหวังความเจริญแก่ตน ควรเข้าหาสมณพราหมณ์ผู้มีศีล เป็นพหูสูต แล้วสมาทานรักษาศีล บำรุงด้วยข้าวน้ำ และพึงไต่ถามบาปบุญตุณโทษ ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์
กะสมณพราหมณ์นั้น
 
เป็นข้าราชการ  ต้องเป็นผู้สุขุมรอบคอบฉลาดในราชกิจ  และสามารถจัดการให้ดำเนินไปโดยเรียบร้อย  รู้จักกาลรู้จักสมัยว่า  ควรจะปฏิบัติอย่างไร
 
บุตรหรือพี่น้องวงศ์ญาติผู้ไม่ตั้งอยู่ในศีลาจารวัตร  ไม่ควรยกย่องให้เป็นใหญ่ปกครองหมู่คณะ  เพราะว่า  เขาเป็นคนพาล  อันคนพาลท่านกล่าวว่า  ไม่ใช่ญาติ  เปรียบเหมือนคนตายแล้วถูกทอดทิ้งไวในป่าช้า  มีแต่จะผลาญทรัพย์ให้พินาศ  และไม่อาจยังราชกิจให้บริบูรณ์ได้  คนเช่นนี้ไม่ควรยกย่อง  แต่เมื่อเขาเข้ามาหาก็ควรให้เสื้อผ้าและอาหารพอเลี้ยงชีพ  แต่พวกทาสกรรมกรผู้ใดตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม  เป็นคนขยันหมั่นเพียร  ก็ควรยกย่องให้เป็นใหญ่ปกครองหมู่คณะได้ 

เป็นข้าราชการพึงประกอบด้วยศีลาจารวัตร  มีสัตยธรรมไม่ละโมบโลภมากเห็นแต่จะได้จนออกนอกหน้า  พึงประพฤติตามใจเจ้าไม่เข้าข้างคนผิด  มีความจงรักภักดีคงที่ทั้งต่อหน้าและลับหลัง  ต้องรู้จักพระราชนิยมและปฏิบัติตามพระราชประสงค์อย่าขัดพระราชอัธยาศัย  เวลาผลัดพระภูษาและสรงสนาน  พึงก้มศีรษะชำระพระบาท  แม้จะถูกกริ้วกราดต้องพระราชอาญาก็อย่ามีการโกรธตอบ
 
พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ที่พึงบูชาสักการะ  เพราะพระองค์พระราชทานทั้งที่นอนหมอนมุ้งผ้านุ่งผ้าห่มยวดยานบ้านเรือนที่อยู่อาศัย  สามารถบันดาลโภคสมบัติอิสริยยศและบริวารยศให้ตกทั่วถึงกัน  ประดุจมหาเมฆยังฝนให้ตกทั่วไปแก่หมู่สัตว์  จึงสมควรที่จะบูชาพระองค์ท่านโดยแท้จริง
 
นี่แหละเจ้าทั้งหลาย  คือ  "ราชวสดีธรรม"  สำหรับข้าราชการควรประพฤติตาม  จะได้เป็นที่โปรดปรานและได้รับความนับถือจากเจ้านายทั้งหลาย
 
เมื่อวิธุรบัณฑิตสั่งสอนบุตรภรรยาญาติมิตรจบลง  ก็ถึงวันที่ ๓ ตามกำหนดพอดี  พอรุ่งเช้าจึงอาบน้ำชำระกายและบริโภคโภชนาหารรสเลิศต่าง ๆ  เสร็จแล้วจึงพาหมู่ญาติไปสู่พระราชนิเวศน์ เพื่อเข้าเฝ้าทูลลา  ไปกับมาณพ  ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าแต่พระองค์ผู้จอมราช  ข้าพระองค์ขอถวายบังคมลาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทไปกับมาณพในวันนี้  เขาจะนำไปร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่ทราบเกล้ากราบกระหม่อม  ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงคอยฟังข่าวด้วย  ข้าพระพุทธเจ้าขอฝากภรรยา  ญาติและมิตรของข้าพระองค์  ขอให้ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงเหมือนข้าพระองค์ยังพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่  การที่ข้าพระองค์ตอบคำถามของมาณพว่าเป็น  "ทาส"  นั้น  ข้อนี้เป็นความผิดพลาดของข้าพระองค์  พระราชอาญาไม่พ้นเกล้า  ข้าพระองค์เห็นโทษนั้นแล้ว  ขอทรงพระมหากรุณาพระราชทานอภัยโทษแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด  ข้าพระองค์มิได้มีที่อื่นเป็นที่พึ่งอีก  แม้พลาดพลั้งในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว  ก็ขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารตามเดิม"
 
 
.........................
 
(ยังมีต่ออีก)
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 


 
 
 

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๙ พระวิธุรบัณฑิต (หน้า ๖)


ราชวสดีธรรม

ข้าราชการประจำราชสำนักนั้น  เมื่อพระเจ้าอยู่หัวยังไม่ทรงทราบความสามารถ  ก็ยังไม่พระราชทานยศศักดิ์อยู่เอง  

เป็นข้าราชการอย่ากล้าจนเกินพอดี  อย่าขลาดจนเสียราชการ  อย่าประมาทในราชกิจ  แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม  ต้องระมัดระวังอยู่เสมอ  ต้องถือว่า  เป็นเรื่องสำคัญทุกเรื่องไป  เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบคุณสมบัติว่า  เป็นคนมีศีล  มีความประพฤติดี มีปัญญารอบรุ้ดี  และมีความบริสุทธิ์ใจจริงแล้ว  ย่อมทรงวางพระราชหฤทัยไม่รังเกียจ

จงปฏิบัติราชกิจโดยเที่ยงธรรมไม่ให้มีลำเอียง  ปฏิบัติให้เสมอต้นเสมอปลาย  ดุจตราชูที่เที่ยงตรง  ฉะนั้น

จงศึกษาให้รอบรู้ในในราชกิจที่ทรงเรียกใช้  ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน  ต้องปฏิบัติให้สำเร็จตามพระราชประสงค์โดยเรียบร้อยทีเดียว

ทางที่เขาปูลาดไว้เพื่อการเสด็จพระราชดำเนิน  แม้จะทรงอนุญาตก็ไม่ควรเดินบนนั้น  เครื่องอุปโภคบริโภคอันใดที่เป็นของพระเจ้าอยู่หัว อย่าพึงใช้ให้ทัดเทียมกับพระองค์เป็นอันขาด  จะทรงพิโรธผู้กระทำสิ่งเสมอกับพระองค์ยิ่งนัก  ต้องเดินหลังและปฏิบัติต่ำกว่าพระองค์  ทุกสิ่งทุกอย่าง  ทุกเวลาทุกประการ  เสื้อผ้า  อาภรณ์  เครื่องประดับลูบไล้  ไม่ควรใช้สอยให้ทัดเทียมกับพระองค์  ตลอดจนอากัปกิริยาและการพูดจา  ก็ต้องทำให้ต่างออกไป  อย่าให้เหมือนพระองค์ท่าน  จึงจะพ้นราคีกลีโทษ

เวลาเสด็จเล่นอยู่กับอำมาตย์  มีพระสนมกำนัลเฝ้าแหนอยู่ด้วย  อย่าแสดงอาการทอดสนิทกับพระสนมกำนัล  อย่าให้ฟุ้งซ่านคะนองกาย  คะนองวาจาให้เสียจริยาของข้าเฝ้า  ต้องสำรวมอินทรีย์  มีอัธยาศัยสุจริตต่อพระองค์  แม้ในที่ลับก็อย่าได้เจรจาปราศรัยเล่นหัวกับพระสนม  จะเป็นทางให้เกิดระแวงสงสัยอันไม่บังควร

อย่าลอบเอาพระราชทรัพย์จากพระคลังหลวง  จะเป็นการเสียสัตย์ตัดประโยชน์โทษมหันต์  อย่าเห็นแก่หลับนอนอันเป็นลักษณะของคนเกียจคร้าน  ไม่ควรแก่การงานที่จะพึงมอบหมายให้  อย่าดื่มสุราจนเมามายจนทำให้เสื่อมศักดิ์ศรีของผู้ดี  อย่าฆ่ามฤคีที่ทรงโปรดให้เป็นที่ขุ่นเคืองพระราชหฤทัย  เป็นการฝืนพระราชอำนาจ  ขาดความเคารพ  พระแท่นที่ประทับทั้งในรถ  ในเรืออย่าทะนงตนว่าเป็นคนโปรดแล้วขึ้นร่วม  ต้องมีไหวพริบในกิจอุปัฏฐาก  อย่าเฝ้าให้ไกลนักหรือใกล้นัก  ควรเฝ้าแต่พอทอดพระเนตรถนัด  และพอได้ยินพระราชดำรัสที่ตรัสใช้

อย่าชะล่าใจว่า  พระเจ้าอยู่หัวเป็นเพื่อนกับเรา  พระราชาพิโรธไวดุจนัยน์ตากระทบผง  ฉะนั้น

อย่าถือตัวว่า  เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตทรงโปรด  กล่าววาจาจ้วงจาบหยาบคายในขณะประทับต่อหน้าราชสมาคม  ให้เป็นการทะนงอวดดีจะมีภัย

แม้จะได้รับอนุญาตพิเศษให้เข้านอกออกในได้ไม่ว่าเวลาไร  ก็อย่าวางใจในพระราชฐาน  ในกรณีไม่บังควรจะต้องได้รับพระราชานุญาตเสียก่อน  เพราะว่า  พระราชาเป็นดุจไฟ  อย่าได้ประมาท  ต้องมีสติดำรงตนให้เป็นคนรอบคอบ  เมื่อทรงพระราชทานยกย่อพระราชโอรสหรือพระราชวงศ์  ก็ไม่ควรด่วนเพ็จทูลคุณหรือโทษ  จงนิ่งดูอยู่ก่อน

เมื่อจะทรงพระราชทานปูนบำเหน็จรางวัลความดีความชอบในราชการแก่ผู้ใด  ไม่ควรทูลขัดตัดลาภผลของคนผู้นั้น  (ไม่ว่าจะเป็นใคร)  ให้เป็นคนมีจิตอ่อนโยนโอนไปตามในกรณีที่ควร  ดุจคันธนูน้อมเข้าหากัน  หรือกอไผ่โอนตามลม  ฉะนั้น  อย่าทูลทัดทานให้เสียราชการงานเมือง

เป็นข้าราชการต้องเป็นคนมีท้องน้อยดุจคันธนู  คือ  อย่ามักใหญ่ใฝ่สูงเห็นแต่ได้ฝ่ายเดียว  ต้องเป็นคนมีลิ้นดุจปลา  คือ  ไม่เจรจาหาเรื่องให้เคืองพระทัย  ต้องเป็นผู้มีอาหารน้อย  คือ  ไม่มักมากในลาภผลและใช้จ่ายฟุ่มเฟือย  พึงสอดส่องรักษาราชกิจไม่ให้ผิดราชประเพณี  ต้องกล้าพอที่จะสู้อุปสรรคแก้ขัดข้อง  ไม่พึงมัวเมาในสตรี  เพราะสัมผัสเป็นเหตุให้สิ้นเดช  เมื่อสิ้นเดชอันเป็นเหตุต่อสู้กับความหลงแล้ว  ผลก็คือ  ไอหอบกระวนกระวายและอ่อนกำลัง

อย่าพูดมากเกินประมาณ  แต่จะนิ่งเสียทีเดียวก็ไม่ควร  เมื่อถึงคราวพูดก็พูดพอประมาณไม่พร่ำเพรื่อ  ต้องอดทนไม่แฉุนเฉียวโกรธง่าย  อย่าพูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยให้รำคาญโสต  รักษาสัตย์  ระวังถ้อยคำมิให้วิบัติจากความจริง  พูดแต่ถ้อยคำที่นุ่มนวลควรดื่มไว้ในใจ  อย่าเป็นคนส่อเสียดเดียดฉันท์ก่อความบาดหมางในหมู่คณะ  ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล


........................

(ยังมีต่ออีก)













วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๙ พระวิธุรบัณฑิต (หน้า ๕)


"ถูกแล้วพ่อมาณพ"  พระเจ้าโกรพย์ตรัสแล้วก็เข้าสู่โรงธรรมสภาให้หาวิธุรบัณฑิตมาทันที

ปุณณกยักษ์ถามวิธุรบัณฑิตว่า  "เกียรติศัพท์ของท่านโด่งดังนักว่า  ท่านเป็นผู้ทรงธรรม  ไม่พูดเท็จแม้เพื่อชีวิต  วันนี้ละเราจะได้ทราบความจริงว่า  คำเล่าลือนั้นจริงเท็จเพียงไหน ?"

"เชิญท่านถามตามประสงค์เถิด"  วิธุรบัณฑิตกล่าวอย่างปรกติ

"ท่านเป็นทาสของพระราชา หรือเสมอ หรือสูงกว่าพระราชา หรือว่าเป็นพระประยูรญาติ ?"  ปุณณกยักษ์เริ่มถาม

วิธุรบัณฑิต  "ดูก่อนมาณพ  เราเป็นทาสของพระราชาโดยกำเนิดทีเดียว  แต่พระราชาจะเป็นอย่างไรไปก็ตาม  เราก็จะต้องพูดจริงเสมอ  พระราชาจะพระราชทานข้าพเจ้าเป็นค่าพนันแก่ท่าน  ก็พึงพระราชทานโดยธรรม"

ปุณณกยักษ์ตบมือหัวร่อร่า  กล่าวด้วยความดีใจว่า  "วันนี้เราชนะ ๒ ครั้ง  วิธุรบัณฑิตได้ให้ความแจ่มแจ้งแก่เราแล้ว  แต่พระราชามิได้ตั้งอยู่ในธรรม  ไม่ยอมยกวิธุรบัณฑิตให้แก่ข้าพเจ้า"

พระราชาได้สดับดังนั้น  ทรงโทมนัสว่า  วิธุรบัณฑิตนี้ไม่เห็นแก่เราผู้มีคุณูปการะบ้างเลย  กลับไปเห็นแก่มาณพผู้ซึ่งเพิ่งจะพบเห็นกันเดี๋ยวนี้เอง  แล้วทรงพิโรธ  จึงตรัสแก่ปุณณกยักษ์ว่า  "ถ้าวิธุรบัณฑิตกล่าวเช่นนั้น  ท่านก็จงเอาไปเถิด"  แต่พอตรัสดังนั้นแล้วทรงดำริได้ว่า  "ถ้ามาณพนี้เอาวิธุรบัณฑิตไปเสียแล้ว  ก็ยากนักที่จะได้ฟังธรรมของเขาอีก  ถ้าอย่างไร  เราควรขอให้พักรออยู่ในเมืองนี้ชั่วคราวก่อน  พอจะได้ถามธรรมะบางอย่างดูบ้าง"  จึงตรัสว่า  "ท่านวิธุรบัณฑิต  เราใคร่จะได้ฟังธรรมของท่านอีก   ขอเชิญท่านแสดงแก่เราก่อน"

เมื่อวิธุรบัณฑิตพร้อมแล้ว  จึงตรัสถามฆราวาสธรรมเป็นใจความว่า  "ท่านวิธุระ  ผู้เป็นคฤหัสถ์อยู่ครองเรือน  จะประพฤติอย่างไร  จึงจะปลอดโปร่งจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้สงเคราะห์ดี  เว้นจากความเบียดเบียน และมีคำสัตย์  เวลาจากโลกนี้ไปจะได้ไม่เศร้าโศก"

วิธุรบัณฑิต  "ผู้ครองเรือน  ไม่ควรคบหญิงสาธารณะเป็นภรรยา  ไม่ควรบริโภคอาหารมีรสอร่อยแต่ผู้เดียว  รักษาศีลและประพฤติตามทำนองคลองธรรม  รักษาวงศ์ตระกูลให้วัฒนาถาวร  ไม่ประมาทในกิจการทุกอย่าง  มีเหตุผลเป็นยุติธรรม  ไม่แข็งกระด้างต่อผู้ใหญ่  ไม่เย่อหยิ่งด้วยความทะนงตน  ประกอบแต่กิจที่เป็นสุจริตธรรม  พูดจาแต่ถ้อยคำที่น่าฟัง  ก่อให้เกิดไม่ตรี  สงเคราะห์ญาติมิตรตามสมควร  ให้ความช่วยเหลือทั้งในทางการงานและการเงินเท่าที่จะช่วยได้  ไม่ดูดาย  สมาคมกับผู้มีศีลเป็นพหูสูต  และปฏิบัติบำรุงสมณพราหมณ์เป็นนิตย์

"ผู้ครองเรือนปฏิบัติได้ดังนี้  จะได้ชื่อว่า  เป็นผู้ปลอดโปร่ง  เป็นผู้มีการสงเคราะห์ดี  ไม่มีการเบียดเบียน  มีคำสัตย์  และจะไม่ต้องเศร้าโศกในภายหน้า"

เมื่อวิธุรบัณฑิตแสดงจบลงแล้ว  ก็ลงจากธรรมาสน์ถวายความเคารพแก่พระราชา  พระราชาพร้อมด้วยราชา ๑๐๑  เสด็จกลับสู่พระราชนิเวศน์  วิธุรบัณฑิตก็จะกลับยังเคหาสน์ของตน  แต่ปุณณกยักษ์กล่าวว่า  "ท่านต้องไปกับข้าพเจ้า  เพราะพระราชาพระราชทานท่านให้แก่ข้าพเจ้าแล้ว  ท่านตกเป็นของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าเป็นนายของท่าน  ท่านจงปฏิบัติให้เป็นประโยชน์แก่นายของท่าน  วิสัยของบัณฑิตที่แท้จริง  ย่อมทำตนให้เป็นประโยชน์แก่เจ้านายของตน"

วิธุรบัณฑิตตอบว่า  "ดูก่อนมาณพ  ข้อนั้นข้าพเจ้าทราบดี  แต่ขอให้ท่านพักอยู่ในเรือนนี้สัก ๓ วันก่อน  แท้จริงข้าพเจ้าได้ทำประโยชน์ให้แก่ท่านมากอยู่ล้ว  เพราะข้าพเจ้าพูดความจริงที่เป็นประโยชน์แก่ท่านโดยไม่เห็นแก่พระราชา  ทำให้ท่านได้ตัวข้าพเจ้าโดยแท้จริง  ไม่ใช่โดยอย่างอื่น  ข้อนี้ท่านจงรู้เถิดว่า  ข้าพเจ้ามีคุณแก่ท่านมากแล้ว  เพราะเหตุนั้น  ท่านจงยับยั้งอยู่ก่อน  พอให้ข้าพเจ้าสั่งสอนบุตรภรรยาบ้าง"

ปุณณกยักษ์ฟังแล้วเห็นจริง  คิดว่า  "บัณฑิตนี้พูดจริง  มีบุญคุณแก่เรามากทีเดียว  แม้หากว่าจะให้เราพักอยู่ก่อนสัก ๗ วัน  หรือกึ่งเดือน  ก็ควรแท้"  คิดแล้วจึงกล่าวว่า  "ตามใจท่านเถิด  ท่านผู้เจริญ  ท่านจงสั่งสอนบุตรภรรยาของท่านเถิด  เผื่อว่าเมื่อท่านไปแล้ว  อยู่ข้างหลังจะได้มีความสุข"  พูดแล้วก็เข้าพักอยู่ในเรือนของวิธุรบัณฑิตนั้นเอง

วิธุรบัณฑิตได้ให้การต้อนรับปุณณกยักษ์เป็นอย่างดี  ให้พักในห้องโถงใหญ่อันสง่างาม  เพียบพร้อมด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งปวง  มอบนางบำเรอร่างงามดุจเทพกัญญาให้อยู่ปฏิบัตินวดฟั้นอย่างเพียงพอ  มิมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง  ตลอดจนการฟ้อนรำขับร้องดนตรี  เพื่อขับกล่อมให้รื่นรมย์ด้วย  แล้วตนเองก้ไปหานางอโนชาผู้ภริยา  แล้วบอกให้เรียกบุตรธิดามาพร้อมกัน

ทุกคนในบ้านของวิธุรบัณฑิตย่อมเต็มไปด้วยความเศร้าใจ  ได้มาประชุมพร้อมกันต่อหน้าบิดาด้วยใบหน้าที่นองน้ำตา  แม้วิธุรบัณฑิตเองก็ทนฝืนสะอื้นไว้มิได้  สวมกอดบุตรธิดาด้วยความอาลัยเป็นที่ยิ่ง  พอตั้งสติได้  จึงกล่าวว่า

"พระราชาได้พระราชทานตัวเราให้แก่มาณพผู้ชนะสกาเป็นค่าพนัน  เราจะมีโอกาสอยู่ในบ้านนี้อีกเพียง ๓ วันเท่านนั้น  จากนั้นก็จะต้องไปกับมาณพ  พ่อไม่อาจทราบได้ว่า  เขาจะพาไปไหนและจะทำอย่างไร  พ่ออยากจะสั่งสอนข้อปฏิบัติบางอย่างไว้  เพื่อจะได้เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันพวกเจ้าให้มีความปลอดภัย  เมื่อพระราชาต้องการกัลยาณมิตรก็คงจะตรัสถามพวกเจ้าว่า  มีความรู้เกี่ยวกับธรรมด่าง ๆ  อะไรบ้าง  บิดาของเจ้าได้เคยสั่งสอนไว้อย่างไร  เมื่อพวกเจ้ากราบทูลที่พ่อสอนไว้  และถ้าพระองค์พอพระทัยจะตรัสว่า  พวกเจ้าจงมานั่งบนอาสนะเสมอกับเรานี่เถอะ  เจ้าจะต้องจำไว้ว่า   ราชสกุลนั้นจะมีผู้ใดตีเสมอมิได้เป็นอันขาด  เจ้าจะต้องกราบทูลว่า  'ขอพระองค์อย่าตรัสดังนั้นเลย  เพราะหากข้าพระองค์จะทำดังนั้น  ก็หาชอบด้วยประเพณีไม่  ตามธรรมดาสุนัขจิ้งจอกจะนั่งอาสนะเสมอกับราชสีห์ได้อย่างไร'  แล้วจงพากันนั่งอยู่ในที่เฝ้าตามสมควรแก่ฐานะของตน ๆ "

เมื่อวิธุรบัณฑิตกล่าวเตือนเช่นนั้นแล้ว  จึงบรรยาย  "ราชวสดีธรรม"  (ธรรมของข้าราชการ)


..............................

(ยังมีต่อ)















วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๙ พระวิธุรบัณฑิต (หน้า ๔)

พระเจ้าโกรพย์ทอดพระเนตรเห็นมาณพท้าเล่นพนัน  จึงตรัสถามว่า  "ท่านเป็นใครจึงกล้าหาญเช่นนี้ ?"

ปุณณกยักษ์  "ข้าพระองค์เป็นมาณพที่ต้องการจะเล่นสกาท้าพนัน  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าโกรพย์  "ท่านมีอะไรจะให้เรา  ถ้าเราชนะ ?"

ปุณณกยักษ์  "ข้าพระองค์มีแก้วมณีวิเศษอันเป็นของพระเจ้าจักรพรรดิและม้าวิเศษนี้  ซึ่งสามาถชนะไพรีได้ทั่วพิภพ  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าโกรพย์  "ดูก่อนมาณพ  แก้วมณีของเรามีอยู่มากมาย  ม้าอาชาไนยมีกำลังเร็วดังลมกรดก็มีอยู่แล้วมิใช่น้อย  แก้วมณีของเจ้าดวงหนึ่งกับม้าตัวหนึ่ง  จะมีความหมายอะไรกับเรา"

"พระองค์ไม่น่าจะตรัสดังนั้นเลย  ม้าของข้าพเจ้าตัวเดียวเท่ากับม้าพันตัวของพระองค์"  ปุณณกยักษ์ทูลอย่างมั่นใจ  "ขอพระองค์ทอดพระเนตรดูก่อนเถิด"  ว่าแล้วก็ขับม้าของตนปีนบนกำแพงวิ่งวนรอบพระนคร  ความเร็วของม้าทำให้ปรากฏแก่สายตาเหมือนกับม้าพันตัวเอาคอจดกันเรียงล้อมรอบพระนครนั้น  เมื่อปุณณกยักษ์เร่งม้าให้เร็วขึ้นอีก  ก็มองไม่เห็นม้าและคน  คงเห็นแต่ผ้าแดงที่คาดพุงปุณณกยักษ์  ปรากฏเหมือนผ้าผืนเดียววงรอบพระนคร   "ข้าแต่มหาราช  พระองค์ทอดพระเนตรเห็นความเร็วของม้าแล้วหรือ ?"

"เออ  มาณพ  เราเห็นแล้ว"  พระราชาตรัส

"ขอจงทอดพระเนตรดูอีกว่า  มาของข้าพระองค์นี้มีความสามารถยอดเยี่ยมเพียงใด"  ปุณณกยักษ์ทูลแล้วก็ขับม้าให้วิ่งข้ามสระใหญ่ในพระราชอุทยาน  ความเร็วของม้านั้นปรากฏว่า  ปลายกีบมิทันเปียกน้ำในสระเลย  จากนั้นก็ควบไปบนใบบัว  ตบมือแล้วเหยียดมือออก  ม้าวิ่งเผ่นมาหยุดอยู่บนฝ่ามือ  ครั้นแล้วก็กราบทูลว่า  "พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งนรชน  ม้าอย่างนี้ควรจะเป็นม้าแก้วได้หรือไม่  พระเจ้าข้า ?"

"ควรทีเดียว  พ่อมาณพ"  พระราชาตรัส

"ข้าแต่พระมหาราช  สำหรับม้าแก้วพอเพียงเท่านี้ก่อน  ขอพระองค์จงทอดพระเนตรดูอานุภาพของแก้วมณีบ้าง"  ทูลแล้วก็แสดงอานุภาพแก้วมณีให้ปรากฏเป็นรูปสตรีและบุรุษจำนวนมาก  เป็นหมูเนื้อและหมู่นก  เป็นพญาาค  พญาครุฑ  เป็นกองช้าง  กองรถ  กองม้า  กองเดินเท้า เป็นกรมช้าง  กรมราชองครักษ์  กรมม้า  กรมรถ  กรมเดินเท้า  เป็นนครใหญ่  มีกำแพงและเสาค่ายสูง  ประกอบด้วยป้อมและเชิงเทินน่าเกรงขาม  มีถนนหนทาาง ๓ แพร่ง  ๔  แพร่ง  มีหมู่บ้านร้านตลาด  พ่อค้าแม่ค้า  ประชาชนต่างชั้นวรรณะ  มีการเล่นดนตรี  เล่นมหรสพต่าง ๆ  มีมวยปล้ำ  นักรำนักร้อง  มีบุรุษรูปงามกำลังล่อลวง  หญิง  หญิงรูปงามแต่ใจร้ายกำลังล่อลวงชาย  มีสวนสัตว์ประกอบด้วยเชิงเขาเป็นที่อยู่ของราชสีห์  เสือโคร่ง  เสือดาว  แรด  โค  สุกร  ละมั่ง  อีเก้ง  กวาง  ระมาด  ชะมด  แมวป่า กระต่าย  กระแต  มีแม่น้ำสวยงาม  มีฝูงลานานาพรรณ  มีหิมวันตบรรพตซึ่งเกลื่อนกล่นด้วยเหล่ากินนร  มีปราสาทราชมนเฑียรอันรุ่งเรืองสุกใส  มีเหล่าเทพกัญญาทรงโฉมวิไลแวดล้อมเหล่าเทพบุตร  ฯลฯ

เมื่อปุณณกยักษ์แสดงอภินิหารแก้วมณีอันแสนมหัศจรรย์อย่างนี้แล้ว  จึงทูลถามว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้จอมชน  บุคคลใดชนะข้าพเจ้าด้วยสกา  ข้าพเจ้าจะยกแก้วมณีดวงนี้ให้เป็นค่าพนัน  ถ้าพระองค์ชนะข้าพเจ้าก่อน  ข้าพเจ้ามีแก้วมณีนี้ถวาย  แต่ถ้าข้าพเจ้าชนะ  พระองค์จะพระราชทานอะไร  พระเจ้าข้า ?"

พระเจ้าโกรพย์  "ดูก่อนพ่อมาณพ  ยกเว้นตัวเรา  เศวตฉัตร  และอัครมเหสีเสีย  นอกนั้นเราจะยกให้เป็นค่าพนันทั้งนั้น"

"ถ้ากระนั้น  ก็อย่าทรงชักช้าอยู่เลย"  ปุณณกยักษ์เร่งรัด

จากนั้นการแข่งขันสการะหว่างพระเจ้าโกรพย์กับมาณพปุณณกยักษ์ก็เริ่มขึ้นท่ามกลางพระราชา ๑๐๑  และมหาชนมากมาย  พระราชาเป็นฝ่ายทอดสกาก่อน  พระองค์ทรงหยิบลูกสกาขึ้นมา  แล้วทรงขับเพลงสการะลึกถึงอารักขเทวดาและเทพธิดาตนหนึ่ง  ขอให้ช่วยให้มีชัยชนะ  แล้วโยนลูกสกาขึ้นไปในอากาศ  ด้วยอานุภาพของปุณณกยักษ์ลูกสกาขึ้นแต้มแพ้  แต่อารักขเทวดาช่วยให้พระองค์รู้ทันและรีบรับเอาลูกสกาไว้ได้  จึงทรงโยนใหม่อีกเป็นครั้งที่ ๒  แต้มแพ้ก็พลิกขึ้นมาอีก  และก็ทรงรับเองไว้ได้อีก  ปุณณกยักษ์แปลกใจจึงเพ่งมองดูว่า  นี่อะไรกันหนอ  ก็มองเห็นมีอารักขเทวดาคอยช่วยพระราชา 
ปุณณกยักษ์จึงถลึงตาดุ  อารักขเทวดากลัวตัวสั่นรีบหนีไปสุดเขาจักรวาล  ดังนั้น  พอพระราชาทอดลูกสกาครั้งที่ ๓  ก็ตกลงมาโดยรับไว้ไม่ได้  แต้มแพ้ก็พลิกขึ้นเห็นชัด

ปุณณกยักษ์ร้องขึ้นด้วยความดีใจว่า  "เราชนะแล้ว  เราชนะแล้ว"  เสียงปุณณกยักษ์ดังก้องไปทั่วทวีป  ราชาทั้ง ๑๐๑  และมหาชนต่างร้องอึงคะนึงด้วยความเสียใจ  พระเจ้าโกรพย์ทรงเสียพระทัยเป็นกำลัง  ปุณณกยักษ์ผู้ชนะจึงกล่าวตามกฏของการเล่นกีฬาว่า  "ท่านผู้เป็นจอมแก่นรชน  เราทั้งสองพนันกันด้วยสกาเช่นนี้  ก็ต้องมีข้างใดข้างหนึ่งแพ้หรือชนะเป็นธรรมดา  บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้ชนะแล้ว  ขอจงพระราชทานทรัพย์อันมีค่านั้นแก่ข้าพเจ้าโดยเร็วเถิด"

พระเจ้าโกรพย์  "ดูก่อนมาณพ  ทรัพย์สินสิ่งใด  ไม่ว่าจะเป็นช้าง  ม้า  โ  กระบือ  แก้วแหวนเงินทองอันใด   ที่มีอยู่ในแผ่นดินของเรานี้  ท่านจงขนเอาไปตามปรารถนาเถิด"

ปุณณกยักษ์  "ทรัพย์สินสิ่งใด  ข้าพเจ้าไม่ต้องการเลย  ขอพระราชทานวิธุรบัณฑิตแก่ข้าพเจ้าก็พอแล้ว  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าโกรพย์  "ดูก่อนมานณ  วิธุรบัณฑิตนั้นเท่ากับตัวของเรา  เราได้กล่าวแล้วว่านอกจากตัวเรา  เศวตฉัตรและอัครมเหสีแล้ว  ยกให้ท่านทั้งนั้นสำหรับวิธุรบัณฑิตนี้  ไม่เพียงแต่จะเป็นตัวของเราอย่างเดียว  ยังเป็นที่พึ่งเป็นผู้นำทาง  เป็นเกาะแก่ง  ที่เร้นลับ  และเป็นดวงประทีปอันหาค่ามิได้  ท่านจะเปรียบวิธุรบัณฑิตเป็นทรัพย์ภายนอกหาได้ไม่  เขาเป็นทรัพย์ภายในเท่ากับชีวิตของเรา  คือ  เป็นตัวของเราเองทีเดียว"

ปุณณกยักษ์ไม่ใช่นักพูด  จึงไม่สามารถตอบโต้ขัดแย้งคำพูดของพระราชาได้  ในที่สุดจึงกล่าวขึ้นว่า  "ถ้าเราจะโต้เถียงกันไปก็เสียเวลาเปล่า  ทางที่ดีต้องให้วิธุรบัณฑิตนั้นแหละเป็นผู้ตัดสิน"


...........................

(ยังมีต่ออีก)




























วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๙ พระวิธุรบัณฑิต (หน้า ๓)

พญานาคจึงเสด็จออกจากห้องด้วยพระหฤทัยกระวนกระวาย  ประทับลงเหนือแท่นบรรทม  แล้วดำริว่า  "พระนางจะเอาหัวใจของวิธุรบัณฑิต  ถ้าไม่ได้จักต้องตาย  จะทำอย่างไรดีเล่า"

นางอิรันทตีธิดาพญานาคเห็นอาการของพระบิดาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลหนักเช่นนั้น  จึงทูลถามว่า  "ข้าแต่เสด็จพ่อ  พระพักตร์ของพระองค์เป็นเหมือนดอกปทุมที่ถูกขยำจนช้ำเขียว  ทรงพระปริวิตกด้วยสิ่งใดนักหรือ  เพคะ"

"เจ้าอิรันทตี  มารดาของเจ้าปรารถนาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  คือ  อยากได้หัวใจของวิธุรบัณฑิต  ซึ่งเป็นที่รักของมนุษย์ทั้งชมพูทวีป  ถ้าไม่ได้ก็จักต้องตาย  พ่อกำลังจนปัญญาอยู่  เจ้าควรจะช่วยชีวิตมารดาของเจ้าไว้"  ตรัสแล้วกระซิบว่า  "เจ้าควรจะหาภัสดาสักคนหนึง  เลือกเอาที่เก่งกล้าสามารถ  ซึ่งจะไปเอาหัวใจของวิธุรบัณฑิตมาให้เราได้  เจ้าจะทำได้ไหม ?"

นางอิรันทตีทราบดังนั้นแล้วก็ตัดสินใจปลอบพระราชบิดามารดาให้คลายกังวล  แล้วก็จัดแจงแต่งองค์อย่างงามพริ้ง  แหวกน้ำออกจากนาคพิภพ  เหาะตรงไปยังภูเขาซึ่งมีสีเขียวดุจเมฆตั้งทะมึนอยู่ใกล้ฝั่งมหาสมุทรในป่าหิมวันต์  เที่ยวเก็บดอกไม้มาประดับภูเขาอย่างสวยงาม  แล้วก็ฟ้อนรำขับร้องอย่างไพเราะเป็นใจความว่า

                             "คนธรรพ์นาค  ครุฑ  มนุษย์  กินนร  คนไหนก็
ตามที  ถ้าสามารถนำเอาหัวใจของวิธุรบัณฑิตมาถวาย
พระมารดาของเราได้  เราจะยอมเป็นภรรยา"

ขณะนั้น  ปุณณกยักษ์หลานท้าวเวสวัณมหาราช  ขับม้าผ่านมา  ได้ยินเสียงเพลงเข้ารู้สึกคล้ายกับเสียงเพลงนั้นเฉือนตัดผิวหนังเข้าไปถึงเยื่อกระดูก  จึงชักม้าให้เลี้ยวเข้าไปหา  พอเห็นนางอิรันทตีก็เกิดความปฏิพัทธิ์รักใคร่  

แม้นางอิรันทตีก็เกิดความรักทันที  จึงฉวยข้อมือปุณณกยักษ์  พาไปเฝ้าพระบิดา  พระปุณณกยักษ์ทูลพญานาคว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ  ข้าพระองค์ชื่อปุณณกยักษ์  บัดนี้  ปรารถนาจะเป็นข้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  คือ  ปรารถนาจะได้เจ้าหญิงอิรันทตีเป็นคู่สมรส  ขอพระองค์ทรงรับสินสอด  คือ  ช้าง  ม้า  รถ  อย่างละร้อย  เกวียนที่เต็มด้วยแก้วมณีร้อยเล่ม  แล้วประทานเจ้าหญิงอิรันทตีแก่ข้าพระองค์เถิด"

"ดูก่อน  ปุณณกยักษ์  จงรอไว้สักประเดี๋ยวก่อน  เราจะปรึกษาหารือกับญาติมิตรเพื่อนสนิทดูก่อน เพราะประเพณีที่ดีจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคนส่วนมาก  สิ่งใดที่คนส่วนมากไม่เห็นชอบด้วย  ถ้าทำลงไปอาจไม่ได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนให้สำเร็จ  ซึ่งจะเดือดร้อนเป็นผลร้ายภายหลัง"

พญานาคตรัสดังนั้นแล้ว  จึงเสด็จเข้าห้องพระนางวิมลา  แล้วทรงปรึกษาว่า  "แม่วิมลา  มีชายผู้หนึ่ง  เขาชื่อปุณณกยักษ์  มาขอเจ้าอิรันทตีกะเรา  เสนอสินสอดมากมาย  เราจะยกลูกสาวให้หรือไม่ ?"

พระนางวิมลาทูลว่า  "สินสอดจะมีค่าสักเท่าใดก็ไม่สำคัญ  ถ้าปุณณกยักษ์สามารถเอาหัวใจวิธุรบัณฑิตมาให้หม่อมฉันได้  จึงจะควรยอมยกให้  เพราะว่าหม่อมฉันไม่ปรารถนาทรัพย์สินใด ๆ  ยิ่งกว่าหัวใจของวิธุรบัณฑิต  เพคะ"

พญานาคจึงเสด็จออกมาหาปุณณกยักษ์  แล้วตรัสว่า  "เรายินดีจะยกเจ้าอิรันทตีให้  ถ้าท่านจะสามารถนำหัวใจของวิธุรบัณฑิตมาให้แก่เรา  เพราะเราไม่ปรารถนาทรัพย์สินใด ๆ  ทั้งนั้น"

"วิธุรบัณฑิตคือใคร  อยู่ที่ไหน  พระเจ้าข้า ?"  ปุณณกยักษ์ถาม

"เป็นมหาราชครูอยู่ในสำนักพระเจ้าธนัญชัยโกรฑย์  ในเมืองมนุษย์"  พญานาคตอบ

ปุณณกยักษ์ฟังแล้วสั่งเรียกคนใช้ให้นำม้าสินธพมา  แล้วขึ้นขับขี่ตรงไปยังสำนักท้าวเวสวัณทันที  เพื่อขออนุญาต  แต่ขณะนั้น  ท้าวเวสวัณเจ้าแห่งยักษ์กำลังตัดสินคดีแย่งวิมานกันระหว่าง ๒  ตน  
ปุณณกยักษ์ฟังดูรู้ว่าใครจะชนะ  จึงเข้าไปยืนข้างนั้น  พอตัดสินให้ฝ่ายชนะเข้าอยู่ในวิมานนั้นได้  ด้วยคำว่า  "เจ้าจงไป"  ปุณณกยักษ์ถือเอาว่าได้อนุญาตด้วย  จึงรีบขึ้นหลังม้าเหาะไปทันที  พลางก็คิดใคร่ครวญอยู่ว่า  "จะใช้อุบายอย่างไรดี  วิธุรบัณฑิตนี้เป็นดุจดวงมณีของพระเจ้าโกรพย์และของคนทั้งชมพูทวีป  แต่พระเจ้าโกรพย์โปรดสกามาก  เราท้าพนันแล่นสกา เราชนะแล้วจับเอาวิธุรบัณฑิตคงจะได้  เราจะต้องหาวิธีท้าพนันก่อน  ตามธรรมดาพระเจ้าแผ่นดินย่อมปรารถนาแก้วมณีของพระเจ้าจักรพรรดิ  เราไปเอาแก้วมณีนี้มาล่อคงจะสำเร็จ  แก้วมณีนี้มีอยู่ในระหว่างวิบุลบรรพตใกล้กรุงราชคฤห์"  คิดได้ดังนั้นจึงชักม้าบ่ายหน้าตรงไปวิบุลบรรพต  เที่ยวเสาะหาแก้วมณี  พอถึงระหว่างเขาก็เห็นแสงสว่างบาดนัยน์ตาดุจฟ้าแลบ  ก็รู้ได้ว่า  นั่นเป็นแสงแก้วมณีจักพรรดิ  จึงตรงเข้าไปหยิบมา  เจ้ายักษ์กุมภีที่เฝ้าแก้วอยู่ออกขัดขวางทันที  พอเหลือบเห็นสายตาปุณณกยักษ์เข้าก็ตกใจ  ตัวลีบ  งันงกรีบหนีไปแอบอยู่ในซอกเขาจักรวาล  ปุณณกยักษ์ก้ได้แก้วมณีมาสมปรารถนา รีบชักม้าตรงไปยังอินทปัตนคร

ขณะนั้น  พระราชาต่าง ๆ  จาก  ๑๐๑  ประเทศกำลังประชุมกันอยู่  ปุณณกยักษ์จึงแปลงเป็นมาณพเข้าไปท้าเล่นสกาพนันกัน  ไม่ว่าจะเป็นพระราชาองค์ใดก็ได้ทั้งนั้น


.............................

(ยังมีต่ออีก)



















         

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๙ พระวิธุรบัณฑิต (หน้า ๒)


พญาครุฑสดับดังนั้นแล้วกล่าวว่า  "อันที่จริง  นาคนี้เป็นอาหารอย่างดีของข้าพเจ้า  แต่ข้าพเจ้าก็ระงับความอยากเสียได้  ไม่ยอมทำความชั่วเพราะเห็นแก่ปากแก่ท้อง  ฉะนั้น  ศีลของข้าพเจ้าจึงประเสริฐกว่า"  แล้วกล่าวคำเป็นสุภาษิตว่า

          "ผู้ใดไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง  ทนความอยากไว้ได้   บริโภคอาหารพอประมาณ  ไม่กินจุบจิบฟุ่มเฟือย  ฝึกฝนตนแต่ในทางที่ดี  มีความเพียรพยายามที่จะก้าวหน้าเสมอ  ไม่ยอมทำความชั่วเพราะเหตุแห่งอาหาร  ปราชญ์เรียกคนนั้นแลว่า  สันติชนในโลก"

ท้าวสักกะก็กล่าวว่า  "ข้าพเจ้าเองได้ละสมบัติและความสุขสำราาญทั้งปวงในดาวดึงส์มายังมนุษยโลกนี้ก็เพื่อประโยชน์แก่การรักษาศีล  นับเป็นการเสียสละอย่างยิ่งทีเดียว  ฉะนั้น  ศีลของข้าพเจ้าต้องประเสริฐกว่าใครทั้งหมด"  แล้วก็กล่าวคำเป็นสุภาษิตว่า

          "นรชนใด  ละความสำราญในกามารมณ์เสียได้  ไม่พูดคำเหลวไหลเหลาะแหละ  ไม่ประดับตกแต่งร่างกายด้วยของฟุ่มเฟือย  ปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า  นรชนนั้นแล  เป็นสันติชนในโลก"

พระเจ้าธนัญชัยมีพระดำรัสว่า  "วันนี้ข้าพเจ้าสละราชสมบัติมาหาความสงบ  หลีกละพระราชวังที่พรั่งพร้อมด้วยเหล่านารีทั้งหลาย  มาบำเพ็ญสมณธรรมเพื่อความสงบจริง ๆ  ฉะนั้น  ศีลของข้าพเจ้าจึงประเสริฐกว่าใครทั้งหมด"  แล้วก็ตรัสเป็นสุภาษิตว่า

          "นรชนใดแล  กำหนดรู้โทษของกามารมณ์ทั้งหลาย  แล้วสละเสียได้  ฝึกฝนตนเองอย่างมั่นคง  ปราศจากตัณหาความยึดถือและความหวังในทางต่ำ  นักปราชญ์กล่าวว่า  นรชนนั้นแล  เป็นสันติชนในโลก"

เมื่อพระราชาทั้ง ๔  ถกเถียงกันไม่ตกลง  จึงพากันไปหาวิธุรบัณฑิตตามคำชักชวนของพระเจ้าธนัญชัย  เพื่อขอให้วิธุรบัณฑิตตัดสิน

"ข้อถกเถียงของพระองค์ทั้ง ๔  เป็นอย่างไร  โปรดชี้แจงให้ข้าพระองค์ได้ทราาบก่อน  เพราะว่าบัณฑิตที่แท้จริงนั้น  ก่อนจะตัดสินอรรถธรรมอันใดลงไปจะต้องได้ทราบประเด็นต่าง ๆ  จากทุกฝ่ายอย่างถูกต้องเสียก่อน"  วิธุรบัณฑิตกล่าว

พญานาค  "ข้าพเจ้าถือความอดกลั้น  ไม่โกรธในบุคคลที่ควรจะโกรธ"

พญาครุฑ  "ข้าพเจ้าถือการไม่ทำชั่ว  เพราะเหตุแห่อาหาร"

ท้าวสักกะ  "ข้าพเจ้าถือการละความสำราญในกามารมณ์"

พระเจ้าธนัญชัยโกรพย์  "ข้าพเจ้าถือความไม่มีกังวล  ว่าเป็นศีลข้อประเสริฐที่สุด"

 วิธุรบัณฑิตได้ฟังทั้ง  ๔  ต่างยึดถือหลักธรรมไปกันคนละอย่าง  ก็จับประเด็นได้  จึงทูลว่า  "คุณธรรมทั้ง  ๔  ประการตามที่พระองค์ทั้ง  ๔  ตรัสมานี้ล้วนแต่เป็นคำสุภาษิตทั้งนั้น  ย่อมประกอบกันเป็นดังกำเกวียนที่ประกอบกันเป็นกงล้อ  และรวมจุดอยู่ที่ดุมเดียวกัน  ผู้ใดประกอบตนตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรมทั้ง  ๔  แล้ว  ก็เรียกว่า  เป็นสันติชนในโลกได้"

พระราชาทั้ง  ๔  ได้สดับดังนั้นแล้ว  มีพระหฤทัยชื่นชมยิ่งนัก  ตรัสสรรเสริญวิธุรบัณฑิตว่า  เป็นผู้มีปัญญายอดเยี่ยม  สามารถตัดความสงสัยลังเลของตนให้ขาดไป  ประดุจช่างกลึงตัดงาช้างให้ขาดลงด้วยเลื่อยอันคม  ฉะนั้น  ครั้นแล้วต่างก็ประทานรางวัลให้แก่วิธรบัณฑิตด้วยของมีค่า  เป็นการบูชาธรรมและปัญญาอันยอดเยี่ยม  แล้วก็เสด็จกลับยังที่ประทัยของพระองค์

จะกล่าวถึงนางวิมลาชายาของพญาวรุณนาคราช  เมื่อไม่เห็นแก้วมณีที่คอของพญานาคสามี  จึงทูลถามว่่า  "แก้วมณีที่คอของพระองค์หายไปไหนเพคะ ?"

"ถวายท่านวิธุรบัณฑิตไปแล้ว  น้องหญิง"  พญานาคตอบ

"เพื่ออะไรหรือ  พระองค์ ?"  พระนางทูลถามด้วยความประหลาดพระทัย

"เพื่อบูชาธรรมของเขา  ท่านผู้นี้กล่าวธรรมไพเราะจับใจมาก  ทำให้เรามีจิตเลื่อมใสอย่างไม่เคยมีมาก่อน  จงถอดแก้วมณีถวายไป"  พญานาคตอบแล้วตรัสต่อไปว่า  "มิใช่เราผู้เดียวเท่านั้นที่ถวายของมีค่าไป  แม้ถึงท้าวสักกะก็ถวายผ้าทิพย์สีดอกบัวเขียวเนื้อละเอียด  พญาครุฑก็ถวายดอกไม้ทองบริสุทธิ์  และพระเจ้าธนัญชัยโกรพย์ก็ทรงถวายสมบัติหลายอย่างเพื่อบูชาธรรม"

นางวิมลา  "วิธุรบัณฑิตกล่าวธรรมไพเราะอย่างไร  เพคะ ?"

พญานาค  "ดูก่อนนางผู้เจริญ  พระราชาทั้งชมพูทวีปสดับธรรมของท่านผู้นี้แล้ว  ล้วนพอพระหฤทัยและเพลินเพลินจนลืมเสด็จกลับแว่นแคว้นของตน  ถ้าจะเปรียบก็ประดุจเสียงพิณหัตถีกันต์ที่ประโลมฝูงช้างตกมันให้เกิดความรักใครฉะนั้น  เธอแสดงธรรมได้ไพเราะนักหนา"

พระนางสดับแล้วก็ประสงค์จะได้สดับธรรมของวิธุรบัณฑิตบ้าง  จึงทรงทำอุบายดุจเป็นไข้  ถึงเวลาเฝ้าก็มิได้เสด็จเข้าเฝ้าตามปรกติ  พญานาคจึงถามเหล่าสมว่า  "พระนางวิมลาหายไปไหน ?"

พญานาคสดับดังนั้นแล้ว  เสด็จลุกลงตรงไปตำหนักของพระนางวิมลาประทับข้างพระเแท่น  แล้วตรัสว่า  "เจ้าซูบผอมร่วงโรยไปมาก  เจ้าประชวนเป็นอะไรหรือ ?"

พระนางวิมลาได้โอกาสสจึงทูลว่า  "พระองค์ผู้จอมนาค  ธรรมดาสตรีทั้งหลายย่อมอยากได้สิ่งโน้นสิ่งนี้  แม้หม่อมฉันก็อยากได้หัวใจของวิธุรบัณฑิต  ขอได้โปรดนำมาให้หม่อมฉัน  โดยไม่ทำให้วิธุรบัณฑิตได้รับอันตรายแต่อย่างไร  ถ้าหม่อมฉันไม่ได้  ก็เห็นจะต้องตายเป็นแน่แท้  เพคะ"

"เจ้าวิมลา  เจ้าปรารถนาเช่นนั้นเทียวรึ  วิธุรบัณฑิตเป็นที่รักของคนทั้งชมพูทวีป  มีคนพิทักษ์รักษากันอย่างกวดขัน  ใครจะไปนำเอามาได้เล่า"  พญานาคตรัสด้วยความวุ่นวายพระทัย

"ถ้ากระนั้นหม่อมฉันก็คงจะต้องตายแน่แล้ว"  นางวิมลทูลแล้วก็เบือนหน้าหันหลังให้  ยกผ้าสไบปิดหน้านอนนิ่งอยู่

พญานาคจึงเสด็จออกจากห้องด้วยพระหฤทัยกระวนกระวาย  ประทับลงเหนือแท่นบรรทม  แล้วดำริว่า  "พระนางจะเอาหัวใจของวิธุรบัณฑิต  ถ้าไม่ได้จักต้องตาย  จะทำอย่างไรดีเล่า"




.............................

(ยังมีต่ออีก)

























   

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๙ พระวิธุรบัณฑิต (หน้า ๑)



 พระวิธุรบัณฑิต

 
สมัยเมื่อพระเจ้าธนัญโกรพย์ครองราชย์ในนครอินทปัต  แคว้นกุรุ  มีนักปราชญ์ผู้หนึ่งชื่อ  "วิธุระ"  ดำรงตำแหน่งมหาราชครู  ท่านผู้นี้ปรากฏว่าเป็นนักพูดที่มีถ้อยคำไพเราะมาก  สามารถที่จะพูดกล่อมใจคนในชมพูทวีปให้ยินดีเลื่อมใสได้อย่างน่าอัศจรรย์  แม้ถึงพระราชาจากรัฐต่าง ๆ  ถ้าได้สดับถ้อยคำของเขาแล้วก็จะทรงเคลิบเคลิ้มจับพระหฤทัย ไม่ปรารถนาจะเสด็จกลับรัฐของพระองค์เสมือนหนึ่งว่ากระแสเสียงพิณของนายหัตถีกันต์ที่บรรเลงโลมล่อฝูงช้างให้ยินดีรักใคร่  ฉะนั้น

ยังมีพราหมณ์ ๔ คน  เป็นเพื่อนกันมาแต่เก่าก่อน  เมื่อตนแก่ลง  จึงสละบ้านเรือนออกบวชเป็นฤษีอยู่ในป่าหิมพานต์  เมื่อต้องการรสเปรี้ยวเค็มบ้างก็พากันจาริกไปถึงกรุงกาลจัมปาก์  แคว้นอังคะ  พักอาศัยอยู่ในพระราชอุทยาน  รุ่งเช้าก็ออกภิกษาจารในพระนคร  ยังมีกุฎุมพี ๔ คน  เลื่อมใสในอิริยาบถของฤษีทั้ ๔ นั้น  จึงต้อนรับอัญเชิญไปยังบ้านของตนคนละองค์  ถวายอาหารแล้วเชิญชวนให้พักอยูในสวนของตน

ดาบสทั้ง ๔ เมื่อฉันเสร็จแล้ว ได้แยกย้ายกันไปพักผ่อนในที่ต่าง ๆ  กัน  องค์หนึ่งไปดาวดึงส์  องค์หนึ่งไปภพพญานาค  องค์หนึ่งไปภพพญาครุฑ  อีกองค์ไปอุทยานของพระเจ้าโกรพย์  พอกลับมาต่างก็
พรรณนาถึงอิสริยยศของพระอินทร์  สมบัติของพญานาค  เครื่องประดับของพญาครุฑ  ราชสมบัติของพระเจ้าโกรพย์  ตามที่ได้ไปเห็นมาแล้วให้กุฎุมพีของตนฟังตามลำดับ  ทำให้กุฎุมพีปรารถนาจะได้สมบัติเช่นนั้นบ้าง  ต่างก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญ  ให้ทานรักษาศีล  เมื่อสิ้นอายุก็ได้ไปเกิดตามที่ปรารถนา  คนหนึ่งไปเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช  คนหนึ่งไปเกิดในภพพญานาคชื่อว่าท้าววรุณ  คนหนึ่งไปเกิดเป็นพญาครุฑในวิมานฉิมพลี  อีกคนหนึ่งไปเกิดในครรภ์มเหสีของพระเจ้าธนัญชัยโกรพย์

ต่อมา  คนที่ไปเกิดเป็นโอรสพระเจ้าธนัญชัยโกรพย์นั้น  เมื่อเจริญวัยพระราชบิดาสวรรคตแล้ว  ก็ได้ครองราชย์สืบต่อมา  พระองค์ทรงบำเพ็ญกุศลตามคำของวิธุรบัณฑิต  มีการบำเพ็ญทาน  รักษาศีลอุโบสถเป็นต้นมิได้ขาด  วันหนึ่ง  เสด็จสู่พระราชอุทยาน  ประทับนั่งทำสมาธิอยู่  ท้าวสักกเทวราชก็หลีกจากเทวโลกมานั่งทำสมาธิอยู่อีกด้านหนึ่งพระราชอุทยานนั้น  พญาวรุณนาคราชและพญาครุฑก็เช่นเดียวกัน

พอตกเย็น  ท่านทั้ง ๔  นั้นต่างก็ออกจากที่เร้นของตน  ไปพบกันที่สระโบกขรณี  พอเห็นกันเข้าก็รู้จักรักใคร่กัน  ด้วยอำนาจแห่งความรักใคร่ซึ่งเคยมีมาแต่ก่่อน  ต่างก็สนทนาวิสาสะกันเป็นอันดี  ตอนหนึ่งในการสนทนา  ท้าวสักกเทวราชปรารภขึ้นว่า  "พวกเราทั้ง ๔  นี้  ศีลของใครจะประเสริฐกว่ากัน  ?"

"ศีลของข้าพเจ้าสิประเสริฐกว่าใคร ๆ"  พญานาคกล่าว

"เพราะอะไร ?"  ท้าวสักกะถาม

" เพราะธรรมดาพญาครุฑเป็นข้าศึกของพญานาคอย่างร้ายกาจ  แต่ข้าพเจ้าก็มิได้โกรธเคืองเมื่อเห็นศัตรูตัวร้ายเช่นนี้แม้แต่น้อย  ฉะนั้น  ศีลของข้าพเจ้าจึงประเสริฐที่สุด"  พญานาคชี้แจงแล้วก็กล่าวคำเป็นสุภาษิตว่า

         "คนใดไม่มีความโกรธในศัตรูเป็นคนเรียบร้อยเสมอ
         ใครโกรธก็ไม่โกรธตอบ  เป็นสุภาพชนตลอดกาล  บัณฑิต
         กล่าวว่า  คนนั้นแลเป็นสันติชนแท้จริง"



................................

(ยังมีต่ออีก)