วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๑๕)


๑๓.  นครกัณฑ์

ครั้นพระเวสสันดรได้ทรงสดับคำของเหล่าประชาราษฏร์ทูลอาราธนาให้ทรงลาผนวช  เสด็จครองราชสมบบัติดังนั้น  จึงทูลถามพระราชบิดาว่า  "ข้าพระบาทได้ทรงครองราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรม  ไฉนฝ่าพระบาทและชาวนครสีพี  จึงพร้อมใจกันเนรเทศข้าพระบาทเสียจากราชอาณาเขตเล่า ?"

พระเจ้าสญชัย  "ลูกรัก  การที่พ่อเชื่อคำชาวสีพีให้ขับไล่ลูกผู้หาความผิดมิได้เช่นนี้  เป็นการที่พ่อได้กระทำรุนแรงเกินไป  นับเป็นความผิดของพ่อ  ชึ้นชื่อว่าบุตรผู้มีกตัญญูกตเวทีควรที่จะยอมสละชีวิต  ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์โศกของบิดามารดาและพี่น้องได้  เพราะฉะนั้น  ลูกไม่ควรถือโทษพ่อ  จงทำตามคำพ่อ  ลาผนวชจากเพศฤษีกลับเป็นกษัตริย์ตามเดิมเถิด"

เมื่อพระราชบิดาตรัสอยู่อย่างนี้เป็นครั้งที่สอง  พระเวสสันดรจึงทรงรับคำ  แล้วเสด็จเข้าในบรรณศาลา  ทรงเปลื้องเครื่องดาบสบริขารออกเก็บไว้  แล้วทรงผ้าขาวผ่องใสดุจสีสังข์  เสด็จออกนอกบรรณศาลา  ทรงดำริว่า  สถานที่นี้เราบำเพ็ญสมณธรรมมาได้  ๙ เดือน  ๑๕  วัน  เป็นที่เรายึดยอดพระบารมีบำเพ็ญทานจนเกิดแผ่นดินไหว  จึงทรงทำประทักษิณดำเนินเวียนพระบรรณศาลาสามรอบ  แล้วหยุดประทับที่หน้ามุข  ถวายนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์
ครั้นแล้ว  เจ้าพนักงานภูษามาลา  ก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของตน  เช่น  เจริญพระเกษาและพระมัสสุเป็นต้นตามควรแก่ราชกิจ  แล้วก็พร้อมกันถวายอภิเษกให้ขึ้นครองราชสมบัติในพระนครสีพีสืบต่อไป  และโดยนัยเดียววกันนี้เจ้าพนักงานฝ่ายหญิงก็ได้ถวายการปฏิบัติแก่พระนางเจ้ามัทรีตามราชพิธีดุจกัน
สมเด็จพระเวสสันดรบรมราชา  พระองค์ทรงระลึกย้อนถึงชีวตผจญความลำบากกับพระนางมัทรีมาในป่าใหญ่  จึงให้ประกาศทั่วไปว่าให้ประชาชนทุกคนที่มาอยู่ในบริเวณเขาวงกตนี้มีการมหรสพรื่นเริงกันให้เต็มที่
ส่วนพระนางมัทรี  ไม่มีอะไรจะเป็นที่ทรงพระปรีดาปราโมทย์เท่ากับได้ประสบพบลูกรักทั้งสองพระองค์  จึงตรัสว่า  "ลูกรักทั้งสอง  เมื่อพราหมณ์พาลูกไปแล้ว  แม่ก็ได้แต่ตั้งใจปรารถนาว่าอยากจะพบลูกทั้งสองอีก  จึงตั้งใจบำเพ็ญวัตจริยา  คือบริโภคอาหารวันละหนเดียว  นอนบนแผ่นดินเป็นนิจ  ก็ได้ประสิทธิสมประสงค์ในวันนี้เอง  ขออำนาจบุญบารมีของแม่จงคุ้มครองลูก  และขอให้สมเด็จพระเจ้าปู่พระเจ้าย่าจงปรานีชุบเลี้ยง  บุญกุศลอันใดของแม่ก็ดี  ของพ่อก็ดี  ที่มีอยู่  จงส่งผลดลบันดาลให้ลูกจงอย่ารู้เจ็บ  อย่ารู้ไข้  จงมีพระชนมายุยืนนานเถิด"

สมเด็จพระเวสสันดรและพระนางมัทรีบรมราชินีนาถ  ก็ได้เสด็จสู่ค่ายหลวงที่ประทับแห่งสมเด็จพระบรมชนกาธิราช  ด้วยพระราชอิสริยยศใหญ่  ด้วยประการฉะนี้

ต่อจากนั้นกษัตริย์ทั้งหมด  พร้อมด้วยราชบริพารจำนวนใหญ่ก็เสด็จเที่ยวชมภูเขาลำเนาไม้เป็นที่สำราญพระราชหฤทัยประมาณเดือนหนึ่ง และด้วยเดชะพระเมตตาแห่งพระมหาเวสสันดรบันดาลให้เหล่าสัตว์ร้ายทั้งหลายในป่า  อยู่อย่างสงบระงับ  ไม่ข่มเหงเบียดเบียนซึ่งกันและกัน  ต่างก็มาประชุมกันเป็นอันเดียว  แล้วก็แสดงความอาลัยโศการ่ำไห้ด้วยความเสียดายที่พระองค์จะต้องเสด็จจากไป

ครั้นได้เวลาสมควรที่จะนำขบวนกลับได้แล้ว  ขบวนทัพที่ต้อนรับสมเด็จพระเวสสันดรก็เคลื่อนออกจากเขาวงกต  มาตามทางที่จัดทำไว้สิ้นระย  ๖๐  โยชน์  ก็บรรลุถึงพระนครเชตุดร  พอสมเด็จพระเวสสันดรทรงระลึกถึงยาจก  พระอินทรีก็บันดาลให้ฝนตกลงมาเป็นรัตนมณีของมีค่าเหลือคณานับ  ก็เป็นอันสมกับพรที่ทรงขอไว้ตามที่กล่าวมานั้นทุกประการ  พระองค์จึงออกประกาศว่า  ฝนนี้ตกลงบ้านของผู้ใด  ผู้นั้นก็จงมีสิทธิ์เป็นเจ้าของเถิด  ส่วนที่เหลือก็ให้เก็บเข้าไว้ในท้องพระคลังเป็นสมบัติหลวงสืบต่อไป

เรื่องนี้เก็บความจากเสสันดรชาดก  คติธรมที่ได้จากเรื่องนี้  คือ  เมตตา  การเสียสละ


...............................



จาก....หนังสือทศชาดชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์












วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๑๔)


๑๒.  ฉกษัตริย์

เสียงกองทัพที่ยกมาดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณป่า  ได้ยินถึงพระเวสสันดร  แล้วทำให้พระองค์ตกพระทัย  สำคัญว่าเป็นเสียงกองทัพศัตรูยกมาจับพระองค์  จึงทรงพาพระนางมัทรีขึ้นไปบนยอดเขา  เพื่อทอดพระเนตรดูให้รู้แน่  พระนางมัทรีทรงพิจารณาดูแล้วก็ทรงทราบได้ว่ามิใช่ศัตรู  จึงตรัสว่า  "มิใช่กองทัพศัตรูยกมา  พวกศัตรูไม่มีที่จะมาย่ำยีพระองค์ได้  เหมือนไฟในห้วงน้ำ  ย่อมไม่อาจติดขึ้นได้ฉะนั้น"  จึงทำให้พระเวสสันดรบรรเทาความหวาดระแวงลงได้  แล้วจึงเสด็จพาพระนางมัทรีลง ประทับนั่งหน้าบรรณศาลา  โดยมีพระมัทรียอดชายาประทับอยู่อีกแห่งหนึ่งต่างหาก

พระเจ้าสญชัยทรงทำความตกลงกับสมเด็จพระนางผุสดี  "ถ้าเราจะเข้าไปพร้อมกัน  อาจทำให้มีการเศร้าโศกกรรแสงกันเป็นการใหญ่  ตัวเราจะเข้าไปผู้เดียวก่อน  เมื่อพระน้องทรงเห็นเป็นเวลาสมควรแล้วจึงเสด็จตามเข้าไปเถิด"

ขณะที่พระเจ้าสญชัยเสด็จเข้าไปใกล้พระอาศรม  พระเวสสันดรทอดพระเนตรเห็นทรงจำได้  จึงรีบเสด็จลุกออมาต้อนรับถวายอภิวาท  ส่วนพระนางมัทรีก็มิได้รีรออยู่ช้า  รีบเสด็จมาถวายความเคารพเช่นเดียวกัน  ทั้งสามกษัตริย์พบกันด้วยความปีติยินดีจนไม่รู้ที่จะตรัสประการใด

เมื่อค่อยคลายสะอื้นไห้ลงได้บ้างแล้ว  ก็ได้ทรงสนทนาถามถึงทุกข์สุขความเป็นไปตามสมควรแก่พระราชอัธยาศัย  ครั้นได้เวลาพอสมควรก็ปรากฏว่า  สมเด็จพระราชมารดาผุสดีเสด็จเข้ามาอีก  พระเวสสันดรและพระนางมัทรีต่างก็รีบลุกไปต้อนรับอภิวาท  ทันใดนั้นพระนางมัทรีทรงเหลือบเห็นพระชาลีและพระกัณหาเสด็จตามเข้ามา  คราวนี้เองพระนางลืมตัวโผวิ่งเข้าไปหาร้องครวญด้วยเสียงอันดัง  พระกายสั่นระรัว  ถึงวิสัญญีล้มลงตรงที่นั้นเอง  ฝ่ายพระกุมารทั้งสองก็วิ่งโผเข้ามาหา  พอถึงพระมารดาก็สิ้นสมปฤดีล้มทับพระมารดา  พระเวสสันดรทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้น  ก็พลันถึงแก่สิ้นสติสลบลงตรงที่นั้น  แม้พระเจ้าสญชัยและพระนางผุสดีก็มีอันเป็นไปเช่นเดียวกัน  เพราะไม่อาจกำหนดอดกลั้นความตื้นตันไว้ได้ พวกอำมาตย์ข้าราชบริพารที่ได้เห็นเหตุการณ์โดยใกล้ชิด  ต่างก็สิ้สติล้มลงระเนระนาดไปตาม ๆ  กัน

ท้าวสักกเทวราชทรงดำริว่า  หกกษัตริย์กับราชบริพารได้ถึงแก่วิสัญญีหมดเช่นนี้  ย่อมไม่มีใครจะลงมาประพรมชโลมกายใคร ๆ  ได้  จึงบันดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมาเพื่อให้ความสดชื่นแก่ทุก ๆ  คน  บัดดลนั้นหกกษัตริย์พร้อมทั้งเหล่าบริวารก็ฟื้นชีวิตขึ้นมา

เมื่อประชาชนทั้งหมดฟื้นขึ้นแล้ว  ต่างก็เห็นเป็นมหัศจรรย์ไปตาม ๆ  กัน  พลางก็ประนมมือขึ้นนมัสการกล่าวพร้อมกันว่า  "ขอให้พระเวสสันดรและพระนางมัทรีจงเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย  ขอให้พระองค์จงรับตำแหน่งพระราชาของพวกเราเถิด"


................................


จาก....หนังสือทศชาติ  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย....แปลก  สนธิรักษ์