วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต (หน้า ๓)


เต่าฉลาด (ต่อ)

พวกนาคมาณพโกรธมาก  อยากจะปลงพระชนม์พระเจ้าพาราณสีเสียด้วยลมพิษ  แต่หวนระลึกได้ว่า  ได้รับหน้าที่มาเพียงเพื่อนัดวันวิวาห์เท่านั้น  จะหุนหันปลงพระชนม์กษัตริย์เสียแล้วกลับไป  หาเป็นการสมควรไม่  ควรจะไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบเรื่องราวเสียก่อน  ปรึกษากันแล้วก็ผลุนผลันออกจากราชนิเวศน์กลับลงไปยังนาคพิภพ  ตรงเข้าไปเฝ้าท้าวธตรฐ  กราบทูลซ้ำเติมเพื่อให้ท้าวธตรฐโกรธว่า  "ข้าแตพระองค์  ทำไมพระองค์จึงตรัสใช้ให้ข้าพระบาทไปปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีเหตุสมควร  ถ้าพระองค์มีพระประสงค์จะให้พวกข้าพระบาทพากันไปตายแล้ว  ก็จงให้ตายเสียที่นี่จะดีกว่า  พระเจ้าพาราณสีนั้นด่าทอพระองค์ต่าง ๆ  นานา  อวดอ้างยกย่องแต่ลูกสาวของตัว  เมามัวด้วยชาติสกุล

ท้าวธตรฐได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นกระทืบพระบาทด้วยความพิโรธ  ตรัสสั่งให้นาคทั้งปวงมาประชุมกัน  แล้วมีพระบัญชาด้วยเสียงดังว่า  "พวกท่านทั้งหลาย  จงไปบอกให้นาคทั้งหมดรู้ทั่วกันว่า  ให้เตรียมตัวพากันตรงไปเมืองพาราณสี  และอย่าได้ทำอันตรายแก่มนุษย์แม้สักคนหนึ่งเป็นอันขาด"

พวกนาคทูลถามว่า  "เมื่อมิให้พวกข้าพระองค์ทำอันตรายแก่มนุษย์แล้ว  จะให้ข้าพระองค์ไปทำอะไรในเมืองนั้น ?"

ท้าวธตรฐจึงทรงแนะวิธีให้ว่า  "ขอให้พวกนาคทั้งหลายจงไปเที่ยวแผ่พังพานอยู่ตามบ้านเรือน  ตามสระน้ำ  ตามทางเดิน  ตามถนนสี่แพร่ง  และห้อยอยู่ตามต้นไม้  ตามเสาระเนียด  ส่วนตัวเราจะเนรมิตกายให้ใหญ่ยาวขาวล้วน  วงล้อมเมืองไว้"

พวกนาคจึงพากันเข้าไปในเมืองพาราณสี  และปฏิบัติตามรับสั่ง  ไม่เบียดเบียนมนุษย์คนใดเลย  แต่เที่ยวแผ่พังพานอยู่ทั่วไป  พวกสตรีครั้นเห็นฝูงนาคแผ่พังพานหายใจฟู่ฟ่ออยู่ทั่วไปเช่นนั้น  ก็พากันร้องหวีดหวาดสะดุ้ง  เดือดร้อนไปทั่วเมือง  แล้วก้พากันไปประชุมร้องทุกข์ทูลขอให้พระราชาประทานราชธิดาแก่พญานาค

ส่วนนาคมาณพทั้ง  ๔  ที่เป็นทูตนั้น  ได้ตรงไปยังพระราชวังของพระเจ้าพาราณสี  แล้วตรงไปห้องบรรทม  แผ่พังพานทำกิริยาเหมือนจะฉกพระเศียรพระเจ้าพาราณสี  ซึ่งขณะนั้นก็กำลังบรรทมอยู่  เมื่อได้สดับเสียงร่ำร้องทุกข์ของชาวนครและพระราชชายาซ้ำยังได้สดับเสียงขู่คำรามของนาคมาณพทั้ง  ๔  นั้นอีก  จึงตัดสินพระทัยตรัสขึ้นว่า  "เรายอมยกนางสมุททชาให้แก่ข้วธตรฐแล้ว"  ตรัสอยู่อย่างนี้  ๓  ครั้ง

พวกนาคทั้งหลายได้ฟังดังนั้น  ก็พากันถอยห่างออกจากพระนครไปประมาณ  ๑๐๐  เส้น  แล้วจึงเนรมิตเมืองขึ้นเมืองหนึ่ง  งามตระการปานดังเทพนคร  แล้วส่งบรรณาการไปถวายพระเจ้าพาราณสี  เป็นการเตือนให้ส่งราชธิดามาไว ๆ

พระเจ้าพาราณสีรับบรรณาการแล้วตรัสว่า  "ขอให้ท่านจงกลับไปก่อนเถิด  เราจะมอบราชธิดาให้อำมาตย์พาไปส่ง"   ครั้นพวกนาคไปกันแล้ว   จึงตรัสเรียกราชธิดาขึ้นมาบนปราสาทชั้นบน  ชี้พระหัตถ์ให้ดูทางหน้าต่างพร้อมกับตรัสว่า  "ลูกรัก  จงแลดูนครนั้น  เจ้าจักได้เป็นมเหสีของพระราชาผู้ครองนครนั้น  เมืองนั้นก็ไม่ไกลนัก  เมื่อคิดถึงกันก็พอจะไปมาหาสู่กันได้"  เมื่อตรัสให้ราชธิดาเข้าพระทัยดีแล้ว  ก็ทรงมอบให้อำมาตย์พาไปส่ง  ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติและได้รับพระราชทานรางวัลกลับมาเป็นอันมาก

นางนาคมาณวิกาทั้งหลายก็แปลงเพศเป็นมนุษย์  เหมือนเป็นนางบำเรอแวดล้อมพระราชธิดาอยู่เป็นอันมาก  ฝ่ายนางสมุททชาพอบรรทมลงเหนือที่นอนทิพย์ถูกทิพย์สัมผัสเข้าก็หลับทันที  ท้าวธตรฐจึงอุ้มพาหายไปพร้อมด้วยนาคบริษัททั้งปวง ไปปรากฏยังนาคพิภพทันที  พอพระนางสมุททชาตื่นขึ้นเห็นนาคพิภพซึ่งล้วนแล้วด้วยของทิพย์  มีปราสาทประดับประดาด้วยแก้วแหวนเงินทอง  พร้อมทั้งสวนและสระประดุจเทพนคร  จึงตรัสถามเหล่าสุรางค์นางบำเรอว่า  "เมืองนี้เป็นเมืองของใคร ?"

"ข้าแต่พระแม่เจ้า  เมืองนี้เป็นเมืองพระราชสวามีของพระแม่เจ้า  สตรีที่มีบุญน้อยหาได้สมบัติเช่นนี้ไม่  พระแม่เจ้าเป็นผู้มีบุญมากที่สุดแล้ว"  นางบำเรอตอบ

ฝ่ายท้าวธตรฐได้ออกประกาศทั่วไปในนาคพิภพว่า  อย่าให้นาคตนใดแสดงเพศเป็นงูให้ปรากฏเป็นอันขาด  ดังนั้น  นาคจึงมิกล้าแสดงเพศงูให้ปรากฏ  นางสมุททชาเทวีก็ทรงร่วมสิเนหากับท้าวธตรฐอยู่  ณ  นาคพิภพด้วยความอภิรมย์โสมนัสตลอดมา

่ต่อมาพระนางสมุททชามีโอรสกับท้าวธตรฐ  ๔  พระองค์  คือ  สุทัศนะ ๑   ทัตตะ ๑   สุโภคะ ๑
อริฏฐะ ๑

อยู่มาวันหนึ่ง  พวกนาคเล็ก ๆ  กระซิบบอกอริฏฐะว่า  "มารดาของเจ้าไม่ใช่นาค"  อริฏฐกุมารจึงทดลองดู  วันหนึ่ง  ขณะกินนมอยู่ก็เนรมิตกายให้เป็นงู  เอาหางครูดถูพระบาทของพระมารดา  พระนางสมุททชาเห็นอริฏฐะเป็นงูก็ตกใจร้องกรีดปัดตกลงไปบนพื้น  บังเอิญเล็บนางจิกเอาตาของอริฏฐะแตก โลหิตไหล  ท้าวธตรฐได้ยินจึงถามว่า  ร้องทำไม?  พอรู้ว่า  อริฏฐะทำดังนั้นก็ขู่คำรามและให้เอาไปประหารชีวิตเสียทันที  พระนางสมุททชายังคงรักบุตรของตนอยู่  จึงทูลขอโทษว่า  "ข้าแต่พระทูลกระหม่อม  ตาบุตรหม่อมฉันก็ประทุไปแล้ว  ขอได้โปรดประทานโทษให้เถิด"  ท้าวธตรฐจึงยอมยกโทษให้  นางสมุททชาเทวีจึงทราบในวันนั้นว่า  ที่ที่ตนอยู่นั้นเป็นนาคพิภพ

ต่อมาท้าวธตรฐได้แบ่งราชสมบัติให้แก่โอรสทั้ง ๔  เท่า ๆ  กัน  โดยต่างคนต่างปกครองอยู่คนละเขต  บุตรทั้ง ๓  นอกจากทัตตะ  ย่อมพากันมาเฝ้าพระบิดามารดาเดือนละครั้ง  ส่วนทัตตะมาเยี่ยมทุกกึ่งเดือน  ทั้งได้ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ  และยังขึ้นไปเฝ้าท้าววิรูปักขมหาราชกับพระบิดาเสมอ  ปัญหาที่เกิดขึ้นในสำนักวิรูปักขมหาราชนั้น  ก็ได้ทัตตะช่วยแก้ไขด้วย  และด้วยความปรีชาสามารถในการแก้ปัญหาต่าง ๆ  ดังนี้  เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างเทพยดาซึ่งไม่มีใครแก้ไขได้  ทัตตกุมารก็ได้รับเชิญให้ขึ้นบัลลังก์ช่วยแก้ปัญหานั้น  ในที่สุดท้าวสักกเทวราชเห็นว่า  ทัตตะเป็นผู้มีปรีชาสามารถยอดเยี่ยม  จึงพระราชทานนามให้เป็นเกียรติว่า  "ภูริทัตตะ"  (ทัตตะผู้เรืองปัญญา)

เมื่อภูริทัตตะขึ้นไปเฝ้าท้าวสักกเทวราช  แลเห็นเวชยันต์ปราสาทงดงามพรั่งพร้อมด้วยเทพอัปสร  เป็นที่รื่นรมย์ใจยิ่งนัก  ก็มีความรักใคร่ในเทวโลก  คิดเห็นว่า  การที่จะเป็นนาคมีกบเขียดเป็นอาหารเช่นตัวเราขณะนี้ไม่เป็นสิ่งที่น่าปรารถนาเสียเลย  เราจะกลับลงไปยังนาคพิภพแล้วตั้งใจรักษาอุโบสถ  ก็จะเป็นหนทางให้เรามาเกิดในเทวโลกนี้ได้  ครั้นกลับลงมาถึงนาพิภพแล้ว  จึงเข้าไปทูลพระชนกชนนีขอลาไปรักษาอุโบสถ  พระชนกชนนีก็ตอบอนุญาต  แต่ขออย่าไปรักษาภายนอก  จงรักษาอยู่ใวิมานว่างเปล่าสักแห่งหนึ่งภายในนาคพิภพนี้  เพราะว่านาคที่ออกไปนอกพิภพแล้ว  มักมีภัยเกิดขึ้นได้มาก  ภูริทัตตกุมารก็รับคำ  แล้วไปรักษาอุโบสถอยู่ในวิมานว่างเปล่าภายในอุทยานนั้น  ฝ่ายนางนาคมาณวิกาาทั้งหลายก็พากันถือเครื่องดนตรีต่าง ๆ  ไปห้อมล้อมขับกล่อมอยู่

ภูริทัตตกุมารเห็นว่า  การรักษาอุโบสถในสถานที่เช่นนี้  คงทำได้ไม่ดีถึงที่สุด  เราจักไปรักษาอุโบสถในเมืองมนุษย์  คิดดังนั้นแล้วก็มิได้ลาพระชนกชนนีเพราะกลัวว่าจะถูกห้ามปราม  เป็นแต่เรียกชายาเข้ามาสั่งว่า  "เราจะไปรักษาอุโบสถในโลกมนุษย์  จะขดขนดกายนอนบนจอมปลวกใกล้ต้นไทรใหญ่ริมแม่น้ำยมุนา  เมื่อเรารักษาตลอดคืนแล้ว  ถึงเวลารุ่งอรุณพวกเจ้าจงเป็นเวรกัน  เวรละ  ๑๐  นาง  ไปรับเรามายังนาคพิภพนี้"  สั่งแล้วก็ตรงไปสู่ที่หมาย  ม้วนขนดกายอยู่บนจอมปลวกอธิษฐานอุโบสถประกอบด้วยองค์  ๔  ว่า  "ผู้ใดต้องการหนังก็ดี  เอ็นก็ดี  กระดูกก็ดี  เลือดก็ดี  จงนำเอาไปตามต้องการเถิด"  และเนรมิตกายให้เล็กเท่างอนไถ   นอนรักษาอุโบสถอยู่  พอรู่งอรุณขึ้น  นางนาคมาณวิกา  ๑๐  นาง  ก็พากันมาปรนนิบัติและพาไปยังนาคพิภพ  ภูริทัตตกุมารรักษาอุโบสถโดยวิธีนี้  อยู่ช้านาน"


...............................


(ยังมีต่ออีก)












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น