เต่าฉลาด (ต่อ)
พวกนาคมาณพโกรธมาก อยากจะปลงพระชนม์พระเจ้าพาราณสีเสียด้วยลมพิษ แต่หวนระลึกได้ว่า ได้รับหน้าที่มาเพียงเพื่อนัดวันวิวาห์เท่านั้น จะหุนหันปลงพระชนม์กษัตริย์เสียแล้วกลับไป หาเป็นการสมควรไม่ ควรจะไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบเรื่องราวเสียก่อน ปรึกษากันแล้วก็ผลุนผลันออกจากราชนิเวศน์กลับลงไปยังนาคพิภพ ตรงเข้าไปเฝ้าท้าวธตรฐ กราบทูลซ้ำเติมเพื่อให้ท้าวธตรฐโกรธว่า "ข้าแตพระองค์ ทำไมพระองค์จึงตรัสใช้ให้ข้าพระบาทไปปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีเหตุสมควร ถ้าพระองค์มีพระประสงค์จะให้พวกข้าพระบาทพากันไปตายแล้ว ก็จงให้ตายเสียที่นี่จะดีกว่า พระเจ้าพาราณสีนั้นด่าทอพระองค์ต่าง ๆ นานา อวดอ้างยกย่องแต่ลูกสาวของตัว เมามัวด้วยชาติสกุล
ท้าวธตรฐได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นกระทืบพระบาทด้วยความพิโรธ ตรัสสั่งให้นาคทั้งปวงมาประชุมกัน แล้วมีพระบัญชาด้วยเสียงดังว่า "พวกท่านทั้งหลาย จงไปบอกให้นาคทั้งหมดรู้ทั่วกันว่า ให้เตรียมตัวพากันตรงไปเมืองพาราณสี และอย่าได้ทำอันตรายแก่มนุษย์แม้สักคนหนึ่งเป็นอันขาด"
พวกนาคทูลถามว่า "เมื่อมิให้พวกข้าพระองค์ทำอันตรายแก่มนุษย์แล้ว จะให้ข้าพระองค์ไปทำอะไรในเมืองนั้น ?"
ท้าวธตรฐจึงทรงแนะวิธีให้ว่า "ขอให้พวกนาคทั้งหลายจงไปเที่ยวแผ่พังพานอยู่ตามบ้านเรือน ตามสระน้ำ ตามทางเดิน ตามถนนสี่แพร่ง และห้อยอยู่ตามต้นไม้ ตามเสาระเนียด ส่วนตัวเราจะเนรมิตกายให้ใหญ่ยาวขาวล้วน วงล้อมเมืองไว้"
พวกนาคจึงพากันเข้าไปในเมืองพาราณสี และปฏิบัติตามรับสั่ง ไม่เบียดเบียนมนุษย์คนใดเลย แต่เที่ยวแผ่พังพานอยู่ทั่วไป พวกสตรีครั้นเห็นฝูงนาคแผ่พังพานหายใจฟู่ฟ่ออยู่ทั่วไปเช่นนั้น ก็พากันร้องหวีดหวาดสะดุ้ง เดือดร้อนไปทั่วเมือง แล้วก้พากันไปประชุมร้องทุกข์ทูลขอให้พระราชาประทานราชธิดาแก่พญานาค
ส่วนนาคมาณพทั้ง ๔ ที่เป็นทูตนั้น ได้ตรงไปยังพระราชวังของพระเจ้าพาราณสี แล้วตรงไปห้องบรรทม แผ่พังพานทำกิริยาเหมือนจะฉกพระเศียรพระเจ้าพาราณสี ซึ่งขณะนั้นก็กำลังบรรทมอยู่ เมื่อได้สดับเสียงร่ำร้องทุกข์ของชาวนครและพระราชชายาซ้ำยังได้สดับเสียงขู่คำรามของนาคมาณพทั้ง ๔ นั้นอีก จึงตัดสินพระทัยตรัสขึ้นว่า "เรายอมยกนางสมุททชาให้แก่ข้วธตรฐแล้ว" ตรัสอยู่อย่างนี้ ๓ ครั้ง
พวกนาคทั้งหลายได้ฟังดังนั้น ก็พากันถอยห่างออกจากพระนครไปประมาณ ๑๐๐ เส้น แล้วจึงเนรมิตเมืองขึ้นเมืองหนึ่ง งามตระการปานดังเทพนคร แล้วส่งบรรณาการไปถวายพระเจ้าพาราณสี เป็นการเตือนให้ส่งราชธิดามาไว ๆ
พระเจ้าพาราณสีรับบรรณาการแล้วตรัสว่า "ขอให้ท่านจงกลับไปก่อนเถิด เราจะมอบราชธิดาให้อำมาตย์พาไปส่ง" ครั้นพวกนาคไปกันแล้ว จึงตรัสเรียกราชธิดาขึ้นมาบนปราสาทชั้นบน ชี้พระหัตถ์ให้ดูทางหน้าต่างพร้อมกับตรัสว่า "ลูกรัก จงแลดูนครนั้น เจ้าจักได้เป็นมเหสีของพระราชาผู้ครองนครนั้น เมืองนั้นก็ไม่ไกลนัก เมื่อคิดถึงกันก็พอจะไปมาหาสู่กันได้" เมื่อตรัสให้ราชธิดาเข้าพระทัยดีแล้ว ก็ทรงมอบให้อำมาตย์พาไปส่ง ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติและได้รับพระราชทานรางวัลกลับมาเป็นอันมาก
นางนาคมาณวิกาทั้งหลายก็แปลงเพศเป็นมนุษย์ เหมือนเป็นนางบำเรอแวดล้อมพระราชธิดาอยู่เป็นอันมาก ฝ่ายนางสมุททชาพอบรรทมลงเหนือที่นอนทิพย์ถูกทิพย์สัมผัสเข้าก็หลับทันที ท้าวธตรฐจึงอุ้มพาหายไปพร้อมด้วยนาคบริษัททั้งปวง ไปปรากฏยังนาคพิภพทันที พอพระนางสมุททชาตื่นขึ้นเห็นนาคพิภพซึ่งล้วนแล้วด้วยของทิพย์ มีปราสาทประดับประดาด้วยแก้วแหวนเงินทอง พร้อมทั้งสวนและสระประดุจเทพนคร จึงตรัสถามเหล่าสุรางค์นางบำเรอว่า "เมืองนี้เป็นเมืองของใคร ?"
"ข้าแต่พระแม่เจ้า เมืองนี้เป็นเมืองพระราชสวามีของพระแม่เจ้า สตรีที่มีบุญน้อยหาได้สมบัติเช่นนี้ไม่ พระแม่เจ้าเป็นผู้มีบุญมากที่สุดแล้ว" นางบำเรอตอบ
ฝ่ายท้าวธตรฐได้ออกประกาศทั่วไปในนาคพิภพว่า อย่าให้นาคตนใดแสดงเพศเป็นงูให้ปรากฏเป็นอันขาด ดังนั้น นาคจึงมิกล้าแสดงเพศงูให้ปรากฏ นางสมุททชาเทวีก็ทรงร่วมสิเนหากับท้าวธตรฐอยู่ ณ นาคพิภพด้วยความอภิรมย์โสมนัสตลอดมา
่ต่อมาพระนางสมุททชามีโอรสกับท้าวธตรฐ ๔ พระองค์ คือ สุทัศนะ ๑ ทัตตะ ๑ สุโภคะ ๑
อริฏฐะ ๑
อยู่มาวันหนึ่ง พวกนาคเล็ก ๆ กระซิบบอกอริฏฐะว่า "มารดาของเจ้าไม่ใช่นาค" อริฏฐกุมารจึงทดลองดู วันหนึ่ง ขณะกินนมอยู่ก็เนรมิตกายให้เป็นงู เอาหางครูดถูพระบาทของพระมารดา พระนางสมุททชาเห็นอริฏฐะเป็นงูก็ตกใจร้องกรีดปัดตกลงไปบนพื้น บังเอิญเล็บนางจิกเอาตาของอริฏฐะแตก โลหิตไหล ท้าวธตรฐได้ยินจึงถามว่า ร้องทำไม? พอรู้ว่า อริฏฐะทำดังนั้นก็ขู่คำรามและให้เอาไปประหารชีวิตเสียทันที พระนางสมุททชายังคงรักบุตรของตนอยู่ จึงทูลขอโทษว่า "ข้าแต่พระทูลกระหม่อม ตาบุตรหม่อมฉันก็ประทุไปแล้ว ขอได้โปรดประทานโทษให้เถิด" ท้าวธตรฐจึงยอมยกโทษให้ นางสมุททชาเทวีจึงทราบในวันนั้นว่า ที่ที่ตนอยู่นั้นเป็นนาคพิภพ
ต่อมาท้าวธตรฐได้แบ่งราชสมบัติให้แก่โอรสทั้ง ๔ เท่า ๆ กัน โดยต่างคนต่างปกครองอยู่คนละเขต บุตรทั้ง ๓ นอกจากทัตตะ ย่อมพากันมาเฝ้าพระบิดามารดาเดือนละครั้ง ส่วนทัตตะมาเยี่ยมทุกกึ่งเดือน ทั้งได้ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ และยังขึ้นไปเฝ้าท้าววิรูปักขมหาราชกับพระบิดาเสมอ ปัญหาที่เกิดขึ้นในสำนักวิรูปักขมหาราชนั้น ก็ได้ทัตตะช่วยแก้ไขด้วย และด้วยความปรีชาสามารถในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ดังนี้ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างเทพยดาซึ่งไม่มีใครแก้ไขได้ ทัตตกุมารก็ได้รับเชิญให้ขึ้นบัลลังก์ช่วยแก้ปัญหานั้น ในที่สุดท้าวสักกเทวราชเห็นว่า ทัตตะเป็นผู้มีปรีชาสามารถยอดเยี่ยม จึงพระราชทานนามให้เป็นเกียรติว่า "ภูริทัตตะ" (ทัตตะผู้เรืองปัญญา)
เมื่อภูริทัตตะขึ้นไปเฝ้าท้าวสักกเทวราช แลเห็นเวชยันต์ปราสาทงดงามพรั่งพร้อมด้วยเทพอัปสร เป็นที่รื่นรมย์ใจยิ่งนัก ก็มีความรักใคร่ในเทวโลก คิดเห็นว่า การที่จะเป็นนาคมีกบเขียดเป็นอาหารเช่นตัวเราขณะนี้ไม่เป็นสิ่งที่น่าปรารถนาเสียเลย เราจะกลับลงไปยังนาคพิภพแล้วตั้งใจรักษาอุโบสถ ก็จะเป็นหนทางให้เรามาเกิดในเทวโลกนี้ได้ ครั้นกลับลงมาถึงนาพิภพแล้ว จึงเข้าไปทูลพระชนกชนนีขอลาไปรักษาอุโบสถ พระชนกชนนีก็ตอบอนุญาต แต่ขออย่าไปรักษาภายนอก จงรักษาอยู่ใวิมานว่างเปล่าสักแห่งหนึ่งภายในนาคพิภพนี้ เพราะว่านาคที่ออกไปนอกพิภพแล้ว มักมีภัยเกิดขึ้นได้มาก ภูริทัตตกุมารก็รับคำ แล้วไปรักษาอุโบสถอยู่ในวิมานว่างเปล่าภายในอุทยานนั้น ฝ่ายนางนาคมาณวิกาาทั้งหลายก็พากันถือเครื่องดนตรีต่าง ๆ ไปห้อมล้อมขับกล่อมอยู่
ภูริทัตตกุมารเห็นว่า การรักษาอุโบสถในสถานที่เช่นนี้ คงทำได้ไม่ดีถึงที่สุด เราจักไปรักษาอุโบสถในเมืองมนุษย์ คิดดังนั้นแล้วก็มิได้ลาพระชนกชนนีเพราะกลัวว่าจะถูกห้ามปราม เป็นแต่เรียกชายาเข้ามาสั่งว่า "เราจะไปรักษาอุโบสถในโลกมนุษย์ จะขดขนดกายนอนบนจอมปลวกใกล้ต้นไทรใหญ่ริมแม่น้ำยมุนา เมื่อเรารักษาตลอดคืนแล้ว ถึงเวลารุ่งอรุณพวกเจ้าจงเป็นเวรกัน เวรละ ๑๐ นาง ไปรับเรามายังนาคพิภพนี้" สั่งแล้วก็ตรงไปสู่ที่หมาย ม้วนขนดกายอยู่บนจอมปลวกอธิษฐานอุโบสถประกอบด้วยองค์ ๔ ว่า "ผู้ใดต้องการหนังก็ดี เอ็นก็ดี กระดูกก็ดี เลือดก็ดี จงนำเอาไปตามต้องการเถิด" และเนรมิตกายให้เล็กเท่างอนไถ นอนรักษาอุโบสถอยู่ พอรู่งอรุณขึ้น นางนาคมาณวิกา ๑๐ นาง ก็พากันมาปรนนิบัติและพาไปยังนาคพิภพ ภูริทัตตกุมารรักษาอุโบสถโดยวิธีนี้ อยู่ช้านาน"
...............................
พระเจ้าพาราณสีรับบรรณาการแล้วตรัสว่า "ขอให้ท่านจงกลับไปก่อนเถิด เราจะมอบราชธิดาให้อำมาตย์พาไปส่ง" ครั้นพวกนาคไปกันแล้ว จึงตรัสเรียกราชธิดาขึ้นมาบนปราสาทชั้นบน ชี้พระหัตถ์ให้ดูทางหน้าต่างพร้อมกับตรัสว่า "ลูกรัก จงแลดูนครนั้น เจ้าจักได้เป็นมเหสีของพระราชาผู้ครองนครนั้น เมืองนั้นก็ไม่ไกลนัก เมื่อคิดถึงกันก็พอจะไปมาหาสู่กันได้" เมื่อตรัสให้ราชธิดาเข้าพระทัยดีแล้ว ก็ทรงมอบให้อำมาตย์พาไปส่ง ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติและได้รับพระราชทานรางวัลกลับมาเป็นอันมาก
นางนาคมาณวิกาทั้งหลายก็แปลงเพศเป็นมนุษย์ เหมือนเป็นนางบำเรอแวดล้อมพระราชธิดาอยู่เป็นอันมาก ฝ่ายนางสมุททชาพอบรรทมลงเหนือที่นอนทิพย์ถูกทิพย์สัมผัสเข้าก็หลับทันที ท้าวธตรฐจึงอุ้มพาหายไปพร้อมด้วยนาคบริษัททั้งปวง ไปปรากฏยังนาคพิภพทันที พอพระนางสมุททชาตื่นขึ้นเห็นนาคพิภพซึ่งล้วนแล้วด้วยของทิพย์ มีปราสาทประดับประดาด้วยแก้วแหวนเงินทอง พร้อมทั้งสวนและสระประดุจเทพนคร จึงตรัสถามเหล่าสุรางค์นางบำเรอว่า "เมืองนี้เป็นเมืองของใคร ?"
"ข้าแต่พระแม่เจ้า เมืองนี้เป็นเมืองพระราชสวามีของพระแม่เจ้า สตรีที่มีบุญน้อยหาได้สมบัติเช่นนี้ไม่ พระแม่เจ้าเป็นผู้มีบุญมากที่สุดแล้ว" นางบำเรอตอบ
ฝ่ายท้าวธตรฐได้ออกประกาศทั่วไปในนาคพิภพว่า อย่าให้นาคตนใดแสดงเพศเป็นงูให้ปรากฏเป็นอันขาด ดังนั้น นาคจึงมิกล้าแสดงเพศงูให้ปรากฏ นางสมุททชาเทวีก็ทรงร่วมสิเนหากับท้าวธตรฐอยู่ ณ นาคพิภพด้วยความอภิรมย์โสมนัสตลอดมา
่ต่อมาพระนางสมุททชามีโอรสกับท้าวธตรฐ ๔ พระองค์ คือ สุทัศนะ ๑ ทัตตะ ๑ สุโภคะ ๑
อริฏฐะ ๑
อยู่มาวันหนึ่ง พวกนาคเล็ก ๆ กระซิบบอกอริฏฐะว่า "มารดาของเจ้าไม่ใช่นาค" อริฏฐกุมารจึงทดลองดู วันหนึ่ง ขณะกินนมอยู่ก็เนรมิตกายให้เป็นงู เอาหางครูดถูพระบาทของพระมารดา พระนางสมุททชาเห็นอริฏฐะเป็นงูก็ตกใจร้องกรีดปัดตกลงไปบนพื้น บังเอิญเล็บนางจิกเอาตาของอริฏฐะแตก โลหิตไหล ท้าวธตรฐได้ยินจึงถามว่า ร้องทำไม? พอรู้ว่า อริฏฐะทำดังนั้นก็ขู่คำรามและให้เอาไปประหารชีวิตเสียทันที พระนางสมุททชายังคงรักบุตรของตนอยู่ จึงทูลขอโทษว่า "ข้าแต่พระทูลกระหม่อม ตาบุตรหม่อมฉันก็ประทุไปแล้ว ขอได้โปรดประทานโทษให้เถิด" ท้าวธตรฐจึงยอมยกโทษให้ นางสมุททชาเทวีจึงทราบในวันนั้นว่า ที่ที่ตนอยู่นั้นเป็นนาคพิภพ
ต่อมาท้าวธตรฐได้แบ่งราชสมบัติให้แก่โอรสทั้ง ๔ เท่า ๆ กัน โดยต่างคนต่างปกครองอยู่คนละเขต บุตรทั้ง ๓ นอกจากทัตตะ ย่อมพากันมาเฝ้าพระบิดามารดาเดือนละครั้ง ส่วนทัตตะมาเยี่ยมทุกกึ่งเดือน ทั้งได้ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ และยังขึ้นไปเฝ้าท้าววิรูปักขมหาราชกับพระบิดาเสมอ ปัญหาที่เกิดขึ้นในสำนักวิรูปักขมหาราชนั้น ก็ได้ทัตตะช่วยแก้ไขด้วย และด้วยความปรีชาสามารถในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ดังนี้ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างเทพยดาซึ่งไม่มีใครแก้ไขได้ ทัตตกุมารก็ได้รับเชิญให้ขึ้นบัลลังก์ช่วยแก้ปัญหานั้น ในที่สุดท้าวสักกเทวราชเห็นว่า ทัตตะเป็นผู้มีปรีชาสามารถยอดเยี่ยม จึงพระราชทานนามให้เป็นเกียรติว่า "ภูริทัตตะ" (ทัตตะผู้เรืองปัญญา)
เมื่อภูริทัตตะขึ้นไปเฝ้าท้าวสักกเทวราช แลเห็นเวชยันต์ปราสาทงดงามพรั่งพร้อมด้วยเทพอัปสร เป็นที่รื่นรมย์ใจยิ่งนัก ก็มีความรักใคร่ในเทวโลก คิดเห็นว่า การที่จะเป็นนาคมีกบเขียดเป็นอาหารเช่นตัวเราขณะนี้ไม่เป็นสิ่งที่น่าปรารถนาเสียเลย เราจะกลับลงไปยังนาคพิภพแล้วตั้งใจรักษาอุโบสถ ก็จะเป็นหนทางให้เรามาเกิดในเทวโลกนี้ได้ ครั้นกลับลงมาถึงนาพิภพแล้ว จึงเข้าไปทูลพระชนกชนนีขอลาไปรักษาอุโบสถ พระชนกชนนีก็ตอบอนุญาต แต่ขออย่าไปรักษาภายนอก จงรักษาอยู่ใวิมานว่างเปล่าสักแห่งหนึ่งภายในนาคพิภพนี้ เพราะว่านาคที่ออกไปนอกพิภพแล้ว มักมีภัยเกิดขึ้นได้มาก ภูริทัตตกุมารก็รับคำ แล้วไปรักษาอุโบสถอยู่ในวิมานว่างเปล่าภายในอุทยานนั้น ฝ่ายนางนาคมาณวิกาาทั้งหลายก็พากันถือเครื่องดนตรีต่าง ๆ ไปห้อมล้อมขับกล่อมอยู่
ภูริทัตตกุมารเห็นว่า การรักษาอุโบสถในสถานที่เช่นนี้ คงทำได้ไม่ดีถึงที่สุด เราจักไปรักษาอุโบสถในเมืองมนุษย์ คิดดังนั้นแล้วก็มิได้ลาพระชนกชนนีเพราะกลัวว่าจะถูกห้ามปราม เป็นแต่เรียกชายาเข้ามาสั่งว่า "เราจะไปรักษาอุโบสถในโลกมนุษย์ จะขดขนดกายนอนบนจอมปลวกใกล้ต้นไทรใหญ่ริมแม่น้ำยมุนา เมื่อเรารักษาตลอดคืนแล้ว ถึงเวลารุ่งอรุณพวกเจ้าจงเป็นเวรกัน เวรละ ๑๐ นาง ไปรับเรามายังนาคพิภพนี้" สั่งแล้วก็ตรงไปสู่ที่หมาย ม้วนขนดกายอยู่บนจอมปลวกอธิษฐานอุโบสถประกอบด้วยองค์ ๔ ว่า "ผู้ใดต้องการหนังก็ดี เอ็นก็ดี กระดูกก็ดี เลือดก็ดี จงนำเอาไปตามต้องการเถิด" และเนรมิตกายให้เล็กเท่างอนไถ นอนรักษาอุโบสถอยู่ พอรู่งอรุณขึ้น นางนาคมาณวิกา ๑๐ นาง ก็พากันมาปรนนิบัติและพาไปยังนาคพิภพ ภูริทัตตกุมารรักษาอุโบสถโดยวิธีนี้ อยู่ช้านาน"
...............................
(ยังมีต่ออีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น