![]() |
พระภูริทัติ |
นานมาแล้ว สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองเมืองพาราณสี พระองค์ได้พระราชทานตำแหน่ง "อุปราช" ให้พระราชโอรส แต่ภายหลังทรงระแวงพระทัยว่า พระราชโอรสจะชิงราชสมบัติ จึงรับสั่งให้เข้ามาเฝ้า แล้วตรัสว่า "เจ้าจงออกไปอยู่ประเทศใดประเทศหนึ่งตามใจสมัคร เมื่อพ่อสิ้นอายุแล้ว จึงกลับมาครองราชสมบัติสืบต่อไป" พระโอรสรับพระกระแสพระบรมราชโองการ แล้วกราบถวายบังคมลา เสด็จดำเนินไปจนถึงแมน้ำยมุนา ได้สร้างศาลาขึ้นหนึ่งหลังระหว่างแมน้ำยมุนาและทะเลกับภูเขาต่อกัน อาศัยผลไม้เลี้ยงชีพ
มีนางนาคคนหนึ่งเป็นนาคทะเล สามีตาย เมื่อเห็นนางนาคอื่น ๆ เขามีสามีอยู่ด้วย ก็เกิดความว้าเหว่ จึงออกเที่ยวเลียบไปตามฝั่งทะเล พบรอยเท้าพระราชบุตรเข้า จึงสะกดรอยไปจนพบศาลา เวลานั้นพระราชบุตรไม่อยู่ นางจึงเข้าไปในศาลา เห็นเครื่องปูลาดและบริขารอื่น ๆ จึงตั้งข้อสังเกตว่า ศาลานี้น่าเป็นที่อยู่ของนักบวชรูปหนึ่ง นางจึงคิดอยากจะทดลองให้รู้ว่า นักบวชรูปนี้จะบวชด้วยศรัทธาหรือไม่ ถ้าบวชด้วยศรัทธากจะมีความหนักแน่นไม่ยินดีในที่นอนที่แต่งไว้ ถ้าไม่บวชด้วยศรัทธาก็จะนอนลงบนที่นอนที่แต่งไว้ให้ แล้วนางก็จะได้โลมเล้าเอาเป็นสามีเสียแลย นางนาคก็ไปนำเอาดอกไม้ เครื่องประดับและน้ำหอมมาจากนาคพิภพ โปรยปรายประพรหมลงบนที่นอน เสร็จแล้วก้กลับไป
พระราชบุตรกลับมาตอเย็น เข้าไปในศาลาเห็นผิดปรกติก้ให้นึกฉงน เสวยผลไปพลางชมไปพลาง ค่าที่ตนไม่ได้บวชด้วยศรัทธา บรรทมหลับตลอดคืนด้วยความพอใจจนพระอาทิตย์ขึ้น ลุกจากที่นอนยังไม่ทันปัดกวาดก็รีบเด็จเข้าป่าหาผลไม้ต่อไป
ฝ่ายนางนาคเมื่อมาเห็นดอกไม้เหี่ยวแห้งไป ก็เข้าใจชัดว่า นักพรตผู้นี้มิได้บวชด้วยศรัทธาจริง ยังยินดีในกามารมณ์อยู่มาก จึงเก็บของเก่าทิ้ง แล้วนำของใหม่มาประดับประดาอีก เสร็จแล้วก็กลับไป ในวันนั้น พระราชบุตรก็บรรทมบนดอกไม้หลับไปจนรุ่งเช้า ทรงคิดว่า ใครหนอที่มาทำให้เราเช่นนี้ วันนั้นจึงไม่เสด็จไปหาผลไม้ แต่ออกไปยืนกำบังอยู่ในที่ใกล้ ๆ ศาลา ฝ่ายนางนาคก็เตรียมดอกไม้และของหอมมายังศาลานั้นอีก พระราชบุตรเห็นรูปทรงอันงดงามของนางเข้าก็เกิดรักใคร่ พอนางนาคเข้าไปในศาลา ขณะกำลังประดับตกแต่งที่นอนอยู่นั่นเอง พระราชบุตรก็ย่อมเข้าไปแล้วถามว่า "เจ้าชื่ออะไร ?"
"ดิฉันชื่อนาคมาณวิกาค่ะ"
"มีสามีแล้วหรือยัง ?"
"ขณะนี้เป็นหม้ายค่ะ ก็ท่านล่ะ เดิมอยู่ไหนและชื่ออะไร ?"
"เราเป็นโอรสพระเจ้าพรหมทัต ทำไมเจ้าจึงมาเที่ยวอยู่ในที่นี้เล่า ?"
"ดิฉันเห็นเพื่อนเขามีสามีอยู่กินกันอย่างเป็นสุข ก็ให้รู้สึกว้าเหว่อยากจะได้สามีบ้างจึงมาเที่ยวแสวงหาอยู่เช่นนี้แหละค่ะ"
"ดูก่อนนางผู้เจริญ กระนั้นก็ดีแล้ว เราเองก็มิได้บวชด้วยศรัทธา พระราชบิดาขับไล่ให้มาอยู่ที่นี่ เรายินดีจะเป็นสามีเจ้า เราทั้งสองจะอยู่ด้วยกัน ณ ที่นี้ต่อไป" นางนาคก็ยินยอม
ต่อมา นางนาคมาณวิกาก็ประสูติโอรสองค์หนึ่งให้ชื่อว่า "สาครพรหมทัต" เพราะประสูติที่ฝั่งแม่น้ำ ครั้นต่อมาก็ประสูติธิดาอีกองค์หนึ่ง ให้ชื่อว่า "สมุททชา" เพราะประสูติที่ฝั่งสมุทร
มีพรานป่าชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง ท่องเที่ยวมาจนถึงศาลานั้น พระราชบุตรจัดการต้อนรับ พรานป่าจำพระราชบุตรได้จึงขออาศัยอยู่ ๒-๓ วัน แล้วทูลลากลับเมืองพาราณสี พอดีพระเจ้ากรุงพาราณสีสวรรคต พวกอำมาตย์ได้จัดการปลงพระศพเสร็จแล้ว จึงประชุมปรึกษากันว่า ราชสมบัติขาดกษัตริย์ปกครองจะดำรงอยู่ไม่ได้ พระราชบุตรก็ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด จะมีพระชนม์อยู่หรือไม่ก็ไม่ทราบ ขณะที่อำมาตย์ปรึกษากันอยู่นั้น ก็พอดีพรานป่ากลับถึงพระนคร จึงเข้าไปเล่าเรื่องที่ตนได้ไปพบพระราชบุตรให้อำมาตย์ฟัง อำมาตย์จึงให้รางวัลและให้พาไปเฝ้าพระราชบุตร และทูลเชิญให้ครองราชสมบัติสืบต่อพระราชบิดา
ฝ่ายพระราชบุตรใคร่จะรู้ใจนางนาคมาณวิกา จึงเข้าไปหาแล้วแจ้งเรื่องให้ฟังพร้อมกับชักชวนนางไปด้วย
"น้องจะไปเมืองพาราณสีกับพี่หรือไม่ ?
"หม่อมฉันไม่กลับจะตามเสด็จไป"
"เพราะเหตุใด ?"
"เพราะหม่อมฉันเป็นชาตินาคมีพิษร้าย มักฉุนเฉียวเมื่อมีเหตุเล็กน้อยมากระทบกระเทือนใจก็มักโกรธ การอยู่ร่วมกับหญิงหลายคนที่ร่วมผัวกันเป็นเรื่องหนักใจมาก ถ้าหม่อมฉันได้เห็นได้ยินเหตุการณ์ที่จะทำให้โกรธแล้ว หากหม่อมฉันโกรธและถลึงตาดูแล้วจะพากันไหม้ย่อยยับไปหมด ด้วยเหตุนี้แหละ หม่อมฉันจึงไม่กล้าตามเสด็จไปได้
......................................
จาก หนังสือทศชาติชาดก (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย แปลก สนธิรักษ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น