วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต (หน้า ๑)




พระภูริทัติ


นานมาแล้ว  สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองเมืองพาราณสี  พระองค์ได้พระราชทานตำแหน่ง  "อุปราช"  ให้พระราชโอรส  แต่ภายหลังทรงระแวงพระทัยว่า  พระราชโอรสจะชิงราชสมบัติ  จึงรับสั่งให้เข้ามาเฝ้า  แล้วตรัสว่า  "เจ้าจงออกไปอยู่ประเทศใดประเทศหนึ่งตามใจสมัคร  เมื่อพ่อสิ้นอายุแล้ว  จึงกลับมาครองราชสมบัติสืบต่อไป"  พระโอรสรับพระกระแสพระบรมราชโองการ แล้วกราบถวายบังคมลา เสด็จดำเนินไปจนถึงแมน้ำยมุนา  ได้สร้างศาลาขึ้นหนึ่งหลังระหว่างแมน้ำยมุนาและทะเลกับภูเขาต่อกัน  อาศัยผลไม้เลี้ยงชีพ

มีนางนาคคนหนึ่งเป็นนาคทะเล  สามีตาย  เมื่อเห็นนางนาคอื่น ๆ  เขามีสามีอยู่ด้วย  ก็เกิดความว้าเหว่  จึงออกเที่ยวเลียบไปตามฝั่งทะเล  พบรอยเท้าพระราชบุตรเข้า  จึงสะกดรอยไปจนพบศาลา  เวลานั้นพระราชบุตรไม่อยู่  นางจึงเข้าไปในศาลา  เห็นเครื่องปูลาดและบริขารอื่น ๆ  จึงตั้งข้อสังเกตว่า  ศาลานี้น่าเป็นที่อยู่ของนักบวชรูปหนึ่ง  นางจึงคิดอยากจะทดลองให้รู้ว่า  นักบวชรูปนี้จะบวชด้วยศรัทธาหรือไม่  ถ้าบวชด้วยศรัทธากจะมีความหนักแน่นไม่ยินดีในที่นอนที่แต่งไว้  ถ้าไม่บวชด้วยศรัทธาก็จะนอนลงบนที่นอนที่แต่งไว้ให้  แล้วนางก็จะได้โลมเล้าเอาเป็นสามีเสียแลย  นางนาคก็ไปนำเอาดอกไม้  เครื่องประดับและน้ำหอมมาจากนาคพิภพ  โปรยปรายประพรหมลงบนที่นอน  เสร็จแล้วก้กลับไป

พระราชบุตรกลับมาตอเย็น  เข้าไปในศาลาเห็นผิดปรกติก้ให้นึกฉงน  เสวยผลไปพลางชมไปพลาง  ค่าที่ตนไม่ได้บวชด้วยศรัทธา  บรรทมหลับตลอดคืนด้วยความพอใจจนพระอาทิตย์ขึ้น  ลุกจากที่นอนยังไม่ทันปัดกวาดก็รีบเด็จเข้าป่าหาผลไม้ต่อไป

ฝ่ายนางนาคเมื่อมาเห็นดอกไม้เหี่ยวแห้งไป  ก็เข้าใจชัดว่า  นักพรตผู้นี้มิได้บวชด้วยศรัทธาจริง  ยังยินดีในกามารมณ์อยู่มาก  จึงเก็บของเก่าทิ้ง  แล้วนำของใหม่มาประดับประดาอีก  เสร็จแล้วก็กลับไป  ในวันนั้น  พระราชบุตรก็บรรทมบนดอกไม้หลับไปจนรุ่งเช้า ทรงคิดว่า  ใครหนอที่มาทำให้เราเช่นนี้  วันนั้นจึงไม่เสด็จไปหาผลไม้  แต่ออกไปยืนกำบังอยู่ในที่ใกล้ ๆ  ศาลา ฝ่ายนางนาคก็เตรียมดอกไม้และของหอมมายังศาลานั้นอีก  พระราชบุตรเห็นรูปทรงอันงดงามของนางเข้าก็เกิดรักใคร่  พอนางนาคเข้าไปในศาลา  ขณะกำลังประดับตกแต่งที่นอนอยู่นั่นเอง  พระราชบุตรก็ย่อมเข้าไปแล้วถามว่า  "เจ้าชื่ออะไร ?"

"ดิฉันชื่อนาคมาณวิกาค่ะ"

"มีสามีแล้วหรือยัง ?"

"ขณะนี้เป็นหม้ายค่ะ  ก็ท่านล่ะ  เดิมอยู่ไหนและชื่ออะไร ?"

"เราเป็นโอรสพระเจ้าพรหมทัต  ทำไมเจ้าจึงมาเที่ยวอยู่ในที่นี้เล่า ?"

"ดิฉันเห็นเพื่อนเขามีสามีอยู่กินกันอย่างเป็นสุข  ก็ให้รู้สึกว้าเหว่อยากจะได้สามีบ้างจึงมาเที่ยวแสวงหาอยู่เช่นนี้แหละค่ะ"

"ดูก่อนนางผู้เจริญ  กระนั้นก็ดีแล้ว  เราเองก็มิได้บวชด้วยศรัทธา  พระราชบิดาขับไล่ให้มาอยู่ที่นี่  เรายินดีจะเป็นสามีเจ้า  เราทั้งสองจะอยู่ด้วยกัน  ณ  ที่นี้ต่อไป"  นางนาคก็ยินยอม

ต่อมา  นางนาคมาณวิกาก็ประสูติโอรสองค์หนึ่งให้ชื่อว่า  "สาครพรหมทัต"  เพราะประสูติที่ฝั่งแม่น้ำ  ครั้นต่อมาก็ประสูติธิดาอีกองค์หนึ่ง  ให้ชื่อว่า  "สมุททชา"  เพราะประสูติที่ฝั่งสมุทร

มีพรานป่าชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง  ท่องเที่ยวมาจนถึงศาลานั้น  พระราชบุตรจัดการต้อนรับ  พรานป่าจำพระราชบุตรได้จึงขออาศัยอยู่  ๒-๓  วัน  แล้วทูลลากลับเมืองพาราณสี  พอดีพระเจ้ากรุงพาราณสีสวรรคต  พวกอำมาตย์ได้จัดการปลงพระศพเสร็จแล้ว  จึงประชุมปรึกษากันว่า  ราชสมบัติขาดกษัตริย์ปกครองจะดำรงอยู่ไม่ได้  พระราชบุตรก็ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด  จะมีพระชนม์อยู่หรือไม่ก็ไม่ทราบ  ขณะที่อำมาตย์ปรึกษากันอยู่นั้น  ก็พอดีพรานป่ากลับถึงพระนคร  จึงเข้าไปเล่าเรื่องที่ตนได้ไปพบพระราชบุตรให้อำมาตย์ฟัง  อำมาตย์จึงให้รางวัลและให้พาไปเฝ้าพระราชบุตร  และทูลเชิญให้ครองราชสมบัติสืบต่อพระราชบิดา

ฝ่ายพระราชบุตรใคร่จะรู้ใจนางนาคมาณวิกา  จึงเข้าไปหาแล้วแจ้งเรื่องให้ฟังพร้อมกับชักชวนนางไปด้วย

"น้องจะไปเมืองพาราณสีกับพี่หรือไม่ ?

"หม่อมฉันไม่กลับจะตามเสด็จไป"

"เพราะเหตุใด ?"

"เพราะหม่อมฉันเป็นชาตินาคมีพิษร้าย  มักฉุนเฉียวเมื่อมีเหตุเล็กน้อยมากระทบกระเทือนใจก็มักโกรธ  การอยู่ร่วมกับหญิงหลายคนที่ร่วมผัวกันเป็นเรื่องหนักใจมาก  ถ้าหม่อมฉันได้เห็นได้ยินเหตุการณ์ที่จะทำให้โกรธแล้ว  หากหม่อมฉันโกรธและถลึงตาดูแล้วจะพากันไหม้ย่อยยับไปหมด  ด้วยเหตุนี้แหละ  หม่อมฉันจึงไม่กล้าตามเสด็จไปได้


......................................


จาก   หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย   แปลก  สนธิรักษ์















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น