วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๔๘)


มโหสธถูกใส่ความ

พระนางนันทาเทวีมเหสีพระเจ้าจุลนีทรงผูกพระทัยเจ็บแค้นมโหสธอยู่ตลอดเวลา  ที่มโหสธทำให้พระนางพลัดพรากจากพระสวามีเมื่อคราวที่แล้ว  พระนางจึงตรัสสั่งหญิงที่สนิท  ๕๐๐  นาง  ให้คอยจับ
ผิดมโหสธ  และจะได้ทูลให้พระราชาลงโทษเสียให้สมแค้น

ณ  พระราชนิเวศน์ของพระเจ้าจุลนี  มีปริพาชิกานางหนึ่งชื่อเภรี  ได้มาฉันภัตตาหารในพระราชนิเวศน์เป็นประจำ  นางเป็นบัณฑิตมีความเฉียบแหลมมาก  นางได้ทราบข่าวว่า  มโหสธบัณฑิตได้มาประจำอยู่ในราชสำนัก  แต่ยังไม่เคยเห็นหน้า  ทั้งมโหสธก็ยังไม่เคยเห็นนางเภรีปริพาชิกา  ได้ยินแต่กิตติศัพท์ว่านางฉลาดมาก  จึงอยากจะได้พบสนทนาด้วย  และนางเภรีปริพาชิกาก็ใคร่จะพบสนทนากับมโหสธ

วันหนึ่ง  มโหสธเดินมาถึงหน้าพระลาน  เพื่อจะเข้าเฝ้าตามปรกติ  พอดีกับนางเภรีฉันภัตตาหารเสร็จก็ออกไปพบกันที่หน้าพระลาน  มโหสธยกมือไหว้นางปริพาชิกา

นางปริพาชิกาคิดจะทดลองดูว่า  มโหสธเป็นบัณฑิตสมดังคำเล่าลือหรือไม่  จึงมองดูมโหสธแล้วแบมือออก  ความหมายในใจของนางก็คือจะถามว่า  "มโหสธมาอยู่กับพระเจ้าจุลนี  ได้รับความอุปถัมภ์จากพระองค์เป็นอย่างดีหรือไม่ได้รับอะไรเลย ?"

มโหสธทราบความหมายของนางปริพาชิกา  จึงกำมือตอบไป  ความหมายในใจมโหสธคือตอบว่า  "พระเจ้าจุลนีทรงเป็นเหมือนกำพระหัตถ์ไว้  ยังมิได้พระราชทานสิ่งที่พระองค์ไม่เคยพระราชทานแก่ข้าพเจ้าเลย"  ความหมายว่า  พระราชทานเฉพาะสิ่งที่เคยพระราชทานไว้แล้ว

นางปริพาชิกาทราบความในใจของมโหสธแล้ว  จึงได้ตั้งปัญหาต่อไปโดยยกมือขึ้นลูบศีรษะ  ความหมายก็คือถามว่า  "ทำไม  ท่านจึงไม่บวชเหมือนอาตมาเล่า"

มโหสธรู้ความหมาย  จึงตอบโดยเอามือลูบท้อง  ความหมายก็คือตอบว่า  "ข้าพเจ้าต้องเลี้ยงดูบุตรภรรยา  จึงยังบวชไม่ได้"

เมื่อทั้งสสองได้สนทนากันโดยให้รู้ความหมายกันด้วยท่าทางแล้วต่างก็ลากลับ  นางปริพาชิกากลับที่อยู่ของนาง  มโหสธไปรับราชการในราชสำนัก

บรรดาหญิงที่พระนางนันทาเทวีสั่งไว้ให้คอบจับข้อพิรุธของมโหสธยืนอยู่ที่หน้าต่าง  เห็นกิริยาอาการ
ของมโหสธกับนางปริพาชิกาเช่นนั้น  เข้าใจว่าคงจะมีเลสนัยอะไรสักอย่างหนึ่ง  จึงพากันไปเฝ้าพระเจ้า
จุลนี  กราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์  มโหสธกับนางเภรีปริพาชิกาคิดมิดีมิร้ายต่อพระองค์  หวังจะชิงราชสมบัติของพระองค์  เพคะ"

พระราชา  "พวกเจ้ารู้ได้อย่างไร ?"

หญิงเหล่านั้นทูลว่า  "ข้าแต่มหาราชเจ้า  นางปริพาชิกาฉันภัตตาหารในพระราชวังเสร็จแล้ว  ลงจากปราสาทไปพบกับมโหสธ  พวกหม่อมฉันได้เห็นนางปริพาชิกาทำรหัสลับกันกับมโหสธ  เพคะ"

พระราชา  "เขาทำรหัสอย่างไรกัน ?"

หญิงเหล่านั้น  "นางปริพาชิกาเหยียดมือไปให้มโหสธ  เพคะ"

พระราชา  "พวกเจ้าเข้าใจความหมายของเขาว่าอย่างไร ?"

หญิงเหล่านั้น  "พวกหม่อมฉันรู้ความหมายของนางปริพาชิกาที่เหยียดมือไปนั้น  เพื่อจะถามมโหสธว่า  ท่านสามารถจะทำพระราชาให้ราบคาบเหมือนฝ่ามือ  หรือให้ราบเหมือนลานนวดข้าว  แล้วชิงราชสมบัติได้หรือ"

พระราชา  "แล้วมโหสธแสดงกิริยาอย่างไร ?"

หญิงเหล่านั้น  "มโหสธได้กำมือตอบ  เพคะ"

พระราชา  "พวกเจ้าเข้าใจว่าอย่างไร ?"

หญิงเหล่านั้น  "พวกหม่อมฉันรู้ความหมายของมโหสธที่กำมือ  ก็คือแสดงอาการจับดาบแล้วจะตัดเศียรพระราชา  ชิงเอาราชสมบัติให้อยู่ในกำมือ"

พระราชา  "นางปริพาชิกาทำอย่างไรต่อไปอีก ?"

หญิงเหล่านั้น  "นางปริพาชิกายกมือขึ้นลูบศีรษะ  เพคะ"

พระราชา  "พวกเจ้าเข้าใจอย่างไร ?"

หญิงเหล่านั้น  "พวกหม่อมฉันเข้าใจความหมายของนางปริพาชิกาที่ยกมือขึ้นลูบศีรษะก็คือจะถามมโหสธว่า  ท่านเพียงจะตัดเศียรพระราชาอย่างเดียวหรือ"

พระราชา  "มโหสธทำอย่างไร ?"

หญิงเหล่านั้น  "มโหสธลูบท้องของตน  เพคะ"

พระราชา  "พวกเจ้าเข้าใจอย่างไร ?"

หญิงเหล่านั้น  "พวกกระหม่อมฉันเข้าใจความที่มโหสธเอามือลูบท้องของตนนั้น  ก็คือ  ตอบว่าไม่ใช่เพียงตัดศีรษะพระราชาอย่างเดียว  จะตัดกลางตัวด้วย  ข้าแต่พระองค์  ขอพระองค์อย่าได้ทรงไว้วางพระราชหฤทัยในมโหสธเลย  ควรฆ่ามโหสธก่อนเถิด  เพคะ"

พระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับถ้อยคำของคนเหล่านั้น  ทรงดำริว่า  "เป็นไปไม่ได้ที่มโหสธจะคิดประทุษร้ายเรา  เราต้องถามนางปริพาชิกาดูก่อน"

วันหนึ่ง  ขณะที่นางปริพาชิกาไปฉันในพระราชวังตามปรกติ  เมื่อฉันเสร็จแล้ว พระราชาจึงตรัสถามว่า  "ข้าแต่แม่คุณเจ้า  แม่คุณเจ้าได้พบกับมโหสธบ้างแล้วหรือ ?"

นางปริพาชิกาตอบ  "ขอถวายพระพร  เมื่อวานนี้  อาตมาฉันเสร็จแล้วออกจากที่นี่ได้พบกับมโหสธพอดี"

พระราชา  "แม่คุณเจ้าสนทนาอะไรกันบ้าง ?"

นางปริพาชิกาตอบ  "ขอถวายพระพร  ไม่ได้สนทนาอะไรกันมากนัก  เป็นแต่อาตมาได้ทราบว่า  มโหสธเธอเป็นนักปราชญ์  จึงทดลองปัญญาด้วยเครื่องหมายด้วยมือ  หากมโหสธเป็นนักปราชญ์จริงก็จะรู้ความหมายของปัญหา  อาตมาจึงได้แบมือออก  ความหมายก็คือถามว่า  พระราชาของท่านสงเคราะห์อะไรท่านบ้าง  หรือมิได้สงเคราะห์เลย  มโหสธรู้ความหมายจึงได้กำมือเป็นความหมายให้รู้ว่า  พระราชาทรงให้ปฏิญาณไว้แล้ว  แต่เวลานี้ยังไม่ได้พระราชทานอะไร  อาตมาจึงเอามือลูบศีรษะเป็นความหมายว่า  หากท่านลำบากทำไมไม่บวชเหมือนอาตมาเล่า  มโหสธลูบท้องให้ความหมายว่า  บุตรภรรยามีอยู่  จะต้องหาเลี้ยงให้เต็มปากเต็มท้อง  ถ้าบวชก็จะไม่มีใครเลี้ยงบุตรภรรยา  สนทนากันเพียงเท่านี้แล้วก็จากกันไป"

พระราชาตรัสถามว่า "ข้าแต่แม่คุณเจ้า  แม่คุณเจ้าเห็นว่า  มโหสธเป็นนักปราชญ์หรือไม่ ?"

นางปริพาชิกาตอบ  "ขอถวายพระพร  บนพื้นแผ่นดินนี้จะหาใครเป็นนักปราชญ์ยิ่งกว่ามโหสธไม่มีแล้ว"

พระราชาทรงสนทนากับนางปริพาชิกาพอสมควรแล้ว  ก็ทรงอาราธนาให้นางกลับ

เมื่อนางปริพาชิกากลับ  มโหสธก็เข้าเฝ้า  พระราชาตรัสถามมโหสธว่า  "ท่านบัณฑิต   ท่านได้พบนางปริพาชิกาแล้วหรือ ?"

มโหสธกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าพระพุทธเจ้าได้พบและได้สนทนากันโดยใช้มือเป็นเครื่องหมายให้รู้ความที่สนทนากัน  พระเจ้าข้า"

พระราชาทรงเลื่อมใสมโหสธมาก  จึงทรงแต่งตั้งให้มโหสธดำรงตำแหน่งเสนาบดีผู้ใหญ่ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา.


..............................


จาก  หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย  แปลก  สนธิรักษ์



















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น