พราหมณ์เนสาท
ในครั้งนั้น มีพราหมณ์เนสาทผู้หนึ่ง บ้านอยู่ใกล้ประตูเมืองพาราณสี ออกไปป่ากับลูกชายชื่อโสมทัต เพื่อล่าสัตว์หาเนื้อมาขายเลี้ยงชีพ วันหนึ่งพราหมณ์กับบุตรออกป่าไม่ได้อะไรเลย จึงปรึกษากับบุตรว่า "เจ้าโสมทัต ถ้าเรากลับไปมือเปล่า แม่ของเจ้าจะโกรธเอา เราจะต้องหาสัตว์สักตัวหนึ่งติดมือไปให้ได้" ปรึกษากันแล้วก็บ่ายหน้าตรงไปทางจอมปลวกที่พระภูริทัตนอนอยู่ พบรอยเท้าเนื้อต่าง ๆ ที่ลงไปดื่มน้ำที่แม่น้ำยมุนา จึงบอกแก่บุตรว่า "พบเนื้อแล้ว เจ้าจงถอยออกไป เราจะยิงเนื้อที่มาดื่มน้ำ" บอกแล้วก็หยิบธนูไปยืนแฝงโคนไม้ต้นหนึ่ง คอยดูอยู่ถึงเวลาเย็น ก็มีเนื้อตัวหนึ่งมาหาน้ำ พราหมณ์เนสาทได้ยิงถูกเนื้อนั้น ด้วยกำลังศรทำให้เนื้อนั้นตกใจวิ่งไปแล้วล้มลง บิดากับบุตรก็ไล่ตามไปทัน จึงแล่เนื้อใส่หาบเดินออกจากป่า พอพระอาทิตย์ตกดินจึงปรึกษากันว่า "เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ควรจะไป เราพักอยู่ที่นี้ก่อนเถิด" แล้วก็เอาเนื้อวางไว้ พากันไปนอนอยู่บนค่าคบไม้
พราหมณ์เนสาทตื่นขึ้นในเวลาใกล้รุ่ง ก็เอียงหูคอยฟังเสียงเนื้อร้อง ในขณะนั้นนางนาคมาณวิกาทั้งหลายก็พากันมาแต่งอาสนะประดับประดาด้วยดอกไม้ถวายพระภูริทัต พระภูริทัตก็กลายร่างจากงู เนรมิตเป็นร่างทิพย์ประทับนั่งเหนืออาสนะนั้นด้วยกิริยาผึ่งผายคล้ายท้าวสักกเทวราช เหล่านางนาคมาณวิกาก็พากันบูชา บรรเลงทิพยดนตรี จัดระบำทำเพลงบำเรอพระโพธิสัตว์ พราหมณ์เนสาทได้ยินเสียงนั้น นึกฉงนว่า "นั่นเป็นใครกันหนอ" คิดต่อไปว่า เราจะรู้จักไว้ จึงปลุกลูกแต่ปลุกไม่ตื่น เห็นว่าลูกเหนื่อยอ่อนก็ปล่อยให้นอนไป พราหมณ์เนสาทลงจากต้นไม้ไปคนเดียว เข้าไปหาพระภูริทัต เหล่านางนาคมาณวิกาเห็นพราหมณ์เนสาทก็พากันแทรกแผ่นดินกลับไปยังนาคพิภพ ปล่อยให้พระภูริทัตประทับนั่งอยู่แต่ผู้เดียว พราหมณ์เนสาทเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แล้วกล่าวขึ้นว่า
"ท่านผู้มีเนตรแดง มีอกผึ่งผาย มานั่งอยู่ในกลางป่านี้ ท่านเป็นใคร นารี ๑๐ คน ซึ่งแต่งตัวสวยงามยืนเคารพอยู่เป็นใคร ท่านเป็นพระอินทร์หรือยักษ์ หรือนาคผู้มีอานุภาพมากกันแน่ ?"
พระภูริทัตได้ฟังดังนั้น ดำริว่า ถ้าเราจะบอกว่า เป็นใครคนใดคนหนึ่งที่มีฤทธิ์ในบรรดาผู้มีฤทธานุภาพทั้งหลาย พราหมณ์ผู้นี้ก็จะต้องเชื่อ แต่วันนี้เราควรพูดความจริงอย่างเดียว จึงตรัสว่า "เราเป็นนาคผู้มีฤทธิ์เดชยากที่คนอื่นจะล่วงเกินได้ มารดาของเราชื่อสมุททชา บิดาชื่อธตรฐ ตัวเราชื่อ ภูริทัต" พอบอกไปแล้วก็คิดสะกิดใจขึ้นมาว่า พราหมณ์คนนี้มีลักษณะเหี้ยมโหดหยาบคาย อาจไปบอกหมองูมาทำอันตรายแก่การรักษาอุโบสถของเราได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะพาพราหมณ์นี้ไปนาคพิภพ ตั้งให้มียศศักดิ์ใหญ่โต ก็จะทำให้อุโบสถของเรายืดยาวไปได้ จึงตรัสต่อไปว่า "ดูก่อนพราหมณ์ นาคพิภพเป็นสถานที่รื่นรมย์นัก เราจะให้ยศแก่ท่านให้ใหญ่โต มาเถิด เราไปนาคพิถพด้วยกัน"
"ข้าพเจ้ายังมีบุตรอยู่อีกคนหนึ่ง ถ้าบุตรยอมไปก็จะไป" พราหมณ์เนสาทกล่าว
"ท่านจงพาบุตรของท่านมาเถิด" พระภูริทัตบอก
เมื่อพราหมณ์นั้นพาบุตรมา พระโพธิสัตว์จึงพาไป เมื่อพ่อลูกถึงนาคพิภพแล้ว ร่างกายก็กลายเป็นทิพย์ พระภูริทัตได้ยกสมบัติให้พ่อลูกมากมาย พร้อมด้วยนางนาคกัญญาจำนวนมาก พ่อลูกทั้งสองก็บริโภคสมบัติอยู่ในนาคพิภพนั้น
ส่วนพระภูริทัตก็มิได้ประมาท คงรักษาอุโบสถอยู่เสมอ ถึงกึ่งเดือนก็ไปเฝ้าพระชนชนนี แสดงธรรมถวาย แล้วก็ไปเยี่ยมพราหมณ์ไต่ถามทุกข์สุขพร้อมด้วยทักทายโสมทัตด้วย
พราหมณ์เนสาทอยู่ในนาคพิภพครบหนึ่งปี โดยที่ตนมีบุญน้อยก็เกิดคิดถึงลูกเมียทางบ้าน อยากกลับมนุษยโลก เห็นนาคพิภพเหมือนโลกกันตนรก จึงชักชวนลูกชายกลับ แต่คิดว่า ถ้าจะบอกกับพระภูริทัตตรง ๆ ว่า อยากกลับเพราะคิดถึงลูกเมียทางบ้าน พระภูริทัตก็จะเพิ่มยศศักดิ์ให้มากขึ้นไปอีก จำจะต้องออกอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อพระภูริทัตมาเยี่ยม จึงกล่าวพรรณนาถึงสมบัติของพระภูริทัตว่า ทรัพย์สมบัติของพระองค์มากมายเหลือล้นคณาอย่างนี้ พระองค์พอใจและไม่ปรารถนาอะไรอีกแล้ว ฤทธานุภาพของพระองค์ก็ยิ่งใหญ่ ถ้าจะเปรียบกับท้าวโกสีย์ผู้รุ่งเรืองก็ปานกันทีเดียว
.............................................
(ยังมีต่อ)