วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต (หน้า ๔)


พราหมณ์เนสาท  

ในครั้งนั้น  มีพราหมณ์เนสาทผู้หนึ่ง  บ้านอยู่ใกล้ประตูเมืองพาราณสี  ออกไปป่ากับลูกชายชื่อโสมทัต  เพื่อล่าสัตว์หาเนื้อมาขายเลี้ยงชีพ  วันหนึ่งพราหมณ์กับบุตรออกป่าไม่ได้อะไรเลย  จึงปรึกษากับบุตรว่า  "เจ้าโสมทัต  ถ้าเรากลับไปมือเปล่า  แม่ของเจ้าจะโกรธเอา  เราจะต้องหาสัตว์สักตัวหนึ่งติดมือไปให้ได้"  ปรึกษากันแล้วก็บ่ายหน้าตรงไปทางจอมปลวกที่พระภูริทัตนอนอยู่  พบรอยเท้าเนื้อต่าง ๆ  ที่ลงไปดื่มน้ำที่แม่น้ำยมุนา  จึงบอกแก่บุตรว่า "พบเนื้อแล้ว  เจ้าจงถอยออกไป  เราจะยิงเนื้อที่มาดื่มน้ำ"  บอกแล้วก็หยิบธนูไปยืนแฝงโคนไม้ต้นหนึ่ง  คอยดูอยู่ถึงเวลาเย็น  ก็มีเนื้อตัวหนึ่งมาหาน้ำ  พราหมณ์เนสาทได้ยิงถูกเนื้อนั้น  ด้วยกำลังศรทำให้เนื้อนั้นตกใจวิ่งไปแล้วล้มลง  บิดากับบุตรก็ไล่ตามไปทัน  จึงแล่เนื้อใส่หาบเดินออกจากป่า  พอพระอาทิตย์ตกดินจึงปรึกษากันว่า  "เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ควรจะไป  เราพักอยู่ที่นี้ก่อนเถิด"  แล้วก็เอาเนื้อวางไว้  พากันไปนอนอยู่บนค่าคบไม้

พราหมณ์เนสาทตื่นขึ้นในเวลาใกล้รุ่ง  ก็เอียงหูคอยฟังเสียงเนื้อร้อง  ในขณะนั้นนางนาคมาณวิกาทั้งหลายก็พากันมาแต่งอาสนะประดับประดาด้วยดอกไม้ถวายพระภูริทัต  พระภูริทัตก็กลายร่างจากงู  เนรมิตเป็นร่างทิพย์ประทับนั่งเหนืออาสนะนั้นด้วยกิริยาผึ่งผายคล้ายท้าวสักกเทวราช  เหล่านางนาคมาณวิกาก็พากันบูชา  บรรเลงทิพยดนตรี  จัดระบำทำเพลงบำเรอพระโพธิสัตว์  พราหมณ์เนสาทได้ยินเสียงนั้น  นึกฉงนว่า  "นั่นเป็นใครกันหนอ"  คิดต่อไปว่า  เราจะรู้จักไว้  จึงปลุกลูกแต่ปลุกไม่ตื่น  เห็นว่าลูกเหนื่อยอ่อนก็ปล่อยให้นอนไป  พราหมณ์เนสาทลงจากต้นไม้ไปคนเดียว  เข้าไปหาพระภูริทัต  เหล่านางนาคมาณวิกาเห็นพราหมณ์เนสาทก็พากันแทรกแผ่นดินกลับไปยังนาคพิภพ  ปล่อยให้พระภูริทัตประทับนั่งอยู่แต่ผู้เดียว  พราหมณ์เนสาทเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ  แล้วกล่าวขึ้นว่า

"ท่านผู้มีเนตรแดง  มีอกผึ่งผาย  มานั่งอยู่ในกลางป่านี้  ท่านเป็นใคร  นารี  ๑๐  คน  ซึ่งแต่งตัวสวยงามยืนเคารพอยู่เป็นใคร  ท่านเป็นพระอินทร์หรือยักษ์  หรือนาคผู้มีอานุภาพมากกันแน่ ?"

พระภูริทัตได้ฟังดังนั้น  ดำริว่า  ถ้าเราจะบอกว่า  เป็นใครคนใดคนหนึ่งที่มีฤทธิ์ในบรรดาผู้มีฤทธานุภาพทั้งหลาย  พราหมณ์ผู้นี้ก็จะต้องเชื่อ  แต่วันนี้เราควรพูดความจริงอย่างเดียว  จึงตรัสว่า  "เราเป็นนาคผู้มีฤทธิ์เดชยากที่คนอื่นจะล่วงเกินได้  มารดาของเราชื่อสมุททชา  บิดาชื่อธตรฐ  ตัวเราชื่อ ภูริทัต"  พอบอกไปแล้วก็คิดสะกิดใจขึ้นมาว่า  พราหมณ์คนนี้มีลักษณะเหี้ยมโหดหยาบคาย  อาจไปบอกหมองูมาทำอันตรายแก่การรักษาอุโบสถของเราได้  อย่ากระนั้นเลย  เราจะพาพราหมณ์นี้ไปนาคพิภพ  ตั้งให้มียศศักดิ์ใหญ่โต  ก็จะทำให้อุโบสถของเรายืดยาวไปได้  จึงตรัสต่อไปว่า  "ดูก่อนพราหมณ์  นาคพิภพเป็นสถานที่รื่นรมย์นัก  เราจะให้ยศแก่ท่านให้ใหญ่โต  มาเถิด  เราไปนาคพิถพด้วยกัน"

"ข้าพเจ้ายังมีบุตรอยู่อีกคนหนึ่ง  ถ้าบุตรยอมไปก็จะไป"  พราหมณ์เนสาทกล่าว

"ท่านจงพาบุตรของท่านมาเถิด"  พระภูริทัตบอก

เมื่อพราหมณ์นั้นพาบุตรมา  พระโพธิสัตว์จึงพาไป  เมื่อพ่อลูกถึงนาคพิภพแล้ว  ร่างกายก็กลายเป็นทิพย์  พระภูริทัตได้ยกสมบัติให้พ่อลูกมากมาย  พร้อมด้วยนางนาคกัญญาจำนวนมาก  พ่อลูกทั้งสองก็บริโภคสมบัติอยู่ในนาคพิภพนั้น

ส่วนพระภูริทัตก็มิได้ประมาท  คงรักษาอุโบสถอยู่เสมอ  ถึงกึ่งเดือนก็ไปเฝ้าพระชนชนนี  แสดงธรรมถวาย  แล้วก็ไปเยี่ยมพราหมณ์ไต่ถามทุกข์สุขพร้อมด้วยทักทายโสมทัตด้วย

พราหมณ์เนสาทอยู่ในนาคพิภพครบหนึ่งปี  โดยที่ตนมีบุญน้อยก็เกิดคิดถึงลูกเมียทางบ้าน  อยากกลับมนุษยโลก  เห็นนาคพิภพเหมือนโลกกันตนรก  จึงชักชวนลูกชายกลับ  แต่คิดว่า  ถ้าจะบอกกับพระภูริทัตตรง ๆ  ว่า  อยากกลับเพราะคิดถึงลูกเมียทางบ้าน  พระภูริทัตก็จะเพิ่มยศศักดิ์ให้มากขึ้นไปอีก  จำจะต้องออกอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง  เมื่อพระภูริทัตมาเยี่ยม  จึงกล่าวพรรณนาถึงสมบัติของพระภูริทัตว่า  ทรัพย์สมบัติของพระองค์มากมายเหลือล้นคณาอย่างนี้  พระองค์พอใจและไม่ปรารถนาอะไรอีกแล้ว  ฤทธานุภาพของพระองค์ก็ยิ่งใหญ่  ถ้าจะเปรียบกับท้าวโกสีย์ผู้รุ่งเรืองก็ปานกันทีเดียว


.............................................

(ยังมีต่อ)








วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต (หน้า ๓)


เต่าฉลาด (ต่อ)

พวกนาคมาณพโกรธมาก  อยากจะปลงพระชนม์พระเจ้าพาราณสีเสียด้วยลมพิษ  แต่หวนระลึกได้ว่า  ได้รับหน้าที่มาเพียงเพื่อนัดวันวิวาห์เท่านั้น  จะหุนหันปลงพระชนม์กษัตริย์เสียแล้วกลับไป  หาเป็นการสมควรไม่  ควรจะไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบเรื่องราวเสียก่อน  ปรึกษากันแล้วก็ผลุนผลันออกจากราชนิเวศน์กลับลงไปยังนาคพิภพ  ตรงเข้าไปเฝ้าท้าวธตรฐ  กราบทูลซ้ำเติมเพื่อให้ท้าวธตรฐโกรธว่า  "ข้าแตพระองค์  ทำไมพระองค์จึงตรัสใช้ให้ข้าพระบาทไปปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีเหตุสมควร  ถ้าพระองค์มีพระประสงค์จะให้พวกข้าพระบาทพากันไปตายแล้ว  ก็จงให้ตายเสียที่นี่จะดีกว่า  พระเจ้าพาราณสีนั้นด่าทอพระองค์ต่าง ๆ  นานา  อวดอ้างยกย่องแต่ลูกสาวของตัว  เมามัวด้วยชาติสกุล

ท้าวธตรฐได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นกระทืบพระบาทด้วยความพิโรธ  ตรัสสั่งให้นาคทั้งปวงมาประชุมกัน  แล้วมีพระบัญชาด้วยเสียงดังว่า  "พวกท่านทั้งหลาย  จงไปบอกให้นาคทั้งหมดรู้ทั่วกันว่า  ให้เตรียมตัวพากันตรงไปเมืองพาราณสี  และอย่าได้ทำอันตรายแก่มนุษย์แม้สักคนหนึ่งเป็นอันขาด"

พวกนาคทูลถามว่า  "เมื่อมิให้พวกข้าพระองค์ทำอันตรายแก่มนุษย์แล้ว  จะให้ข้าพระองค์ไปทำอะไรในเมืองนั้น ?"

ท้าวธตรฐจึงทรงแนะวิธีให้ว่า  "ขอให้พวกนาคทั้งหลายจงไปเที่ยวแผ่พังพานอยู่ตามบ้านเรือน  ตามสระน้ำ  ตามทางเดิน  ตามถนนสี่แพร่ง  และห้อยอยู่ตามต้นไม้  ตามเสาระเนียด  ส่วนตัวเราจะเนรมิตกายให้ใหญ่ยาวขาวล้วน  วงล้อมเมืองไว้"

พวกนาคจึงพากันเข้าไปในเมืองพาราณสี  และปฏิบัติตามรับสั่ง  ไม่เบียดเบียนมนุษย์คนใดเลย  แต่เที่ยวแผ่พังพานอยู่ทั่วไป  พวกสตรีครั้นเห็นฝูงนาคแผ่พังพานหายใจฟู่ฟ่ออยู่ทั่วไปเช่นนั้น  ก็พากันร้องหวีดหวาดสะดุ้ง  เดือดร้อนไปทั่วเมือง  แล้วก้พากันไปประชุมร้องทุกข์ทูลขอให้พระราชาประทานราชธิดาแก่พญานาค

ส่วนนาคมาณพทั้ง  ๔  ที่เป็นทูตนั้น  ได้ตรงไปยังพระราชวังของพระเจ้าพาราณสี  แล้วตรงไปห้องบรรทม  แผ่พังพานทำกิริยาเหมือนจะฉกพระเศียรพระเจ้าพาราณสี  ซึ่งขณะนั้นก็กำลังบรรทมอยู่  เมื่อได้สดับเสียงร่ำร้องทุกข์ของชาวนครและพระราชชายาซ้ำยังได้สดับเสียงขู่คำรามของนาคมาณพทั้ง  ๔  นั้นอีก  จึงตัดสินพระทัยตรัสขึ้นว่า  "เรายอมยกนางสมุททชาให้แก่ข้วธตรฐแล้ว"  ตรัสอยู่อย่างนี้  ๓  ครั้ง

พวกนาคทั้งหลายได้ฟังดังนั้น  ก็พากันถอยห่างออกจากพระนครไปประมาณ  ๑๐๐  เส้น  แล้วจึงเนรมิตเมืองขึ้นเมืองหนึ่ง  งามตระการปานดังเทพนคร  แล้วส่งบรรณาการไปถวายพระเจ้าพาราณสี  เป็นการเตือนให้ส่งราชธิดามาไว ๆ

พระเจ้าพาราณสีรับบรรณาการแล้วตรัสว่า  "ขอให้ท่านจงกลับไปก่อนเถิด  เราจะมอบราชธิดาให้อำมาตย์พาไปส่ง"   ครั้นพวกนาคไปกันแล้ว   จึงตรัสเรียกราชธิดาขึ้นมาบนปราสาทชั้นบน  ชี้พระหัตถ์ให้ดูทางหน้าต่างพร้อมกับตรัสว่า  "ลูกรัก  จงแลดูนครนั้น  เจ้าจักได้เป็นมเหสีของพระราชาผู้ครองนครนั้น  เมืองนั้นก็ไม่ไกลนัก  เมื่อคิดถึงกันก็พอจะไปมาหาสู่กันได้"  เมื่อตรัสให้ราชธิดาเข้าพระทัยดีแล้ว  ก็ทรงมอบให้อำมาตย์พาไปส่ง  ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติและได้รับพระราชทานรางวัลกลับมาเป็นอันมาก

นางนาคมาณวิกาทั้งหลายก็แปลงเพศเป็นมนุษย์  เหมือนเป็นนางบำเรอแวดล้อมพระราชธิดาอยู่เป็นอันมาก  ฝ่ายนางสมุททชาพอบรรทมลงเหนือที่นอนทิพย์ถูกทิพย์สัมผัสเข้าก็หลับทันที  ท้าวธตรฐจึงอุ้มพาหายไปพร้อมด้วยนาคบริษัททั้งปวง ไปปรากฏยังนาคพิภพทันที  พอพระนางสมุททชาตื่นขึ้นเห็นนาคพิภพซึ่งล้วนแล้วด้วยของทิพย์  มีปราสาทประดับประดาด้วยแก้วแหวนเงินทอง  พร้อมทั้งสวนและสระประดุจเทพนคร  จึงตรัสถามเหล่าสุรางค์นางบำเรอว่า  "เมืองนี้เป็นเมืองของใคร ?"

"ข้าแต่พระแม่เจ้า  เมืองนี้เป็นเมืองพระราชสวามีของพระแม่เจ้า  สตรีที่มีบุญน้อยหาได้สมบัติเช่นนี้ไม่  พระแม่เจ้าเป็นผู้มีบุญมากที่สุดแล้ว"  นางบำเรอตอบ

ฝ่ายท้าวธตรฐได้ออกประกาศทั่วไปในนาคพิภพว่า  อย่าให้นาคตนใดแสดงเพศเป็นงูให้ปรากฏเป็นอันขาด  ดังนั้น  นาคจึงมิกล้าแสดงเพศงูให้ปรากฏ  นางสมุททชาเทวีก็ทรงร่วมสิเนหากับท้าวธตรฐอยู่  ณ  นาคพิภพด้วยความอภิรมย์โสมนัสตลอดมา

่ต่อมาพระนางสมุททชามีโอรสกับท้าวธตรฐ  ๔  พระองค์  คือ  สุทัศนะ ๑   ทัตตะ ๑   สุโภคะ ๑
อริฏฐะ ๑

อยู่มาวันหนึ่ง  พวกนาคเล็ก ๆ  กระซิบบอกอริฏฐะว่า  "มารดาของเจ้าไม่ใช่นาค"  อริฏฐกุมารจึงทดลองดู  วันหนึ่ง  ขณะกินนมอยู่ก็เนรมิตกายให้เป็นงู  เอาหางครูดถูพระบาทของพระมารดา  พระนางสมุททชาเห็นอริฏฐะเป็นงูก็ตกใจร้องกรีดปัดตกลงไปบนพื้น  บังเอิญเล็บนางจิกเอาตาของอริฏฐะแตก โลหิตไหล  ท้าวธตรฐได้ยินจึงถามว่า  ร้องทำไม?  พอรู้ว่า  อริฏฐะทำดังนั้นก็ขู่คำรามและให้เอาไปประหารชีวิตเสียทันที  พระนางสมุททชายังคงรักบุตรของตนอยู่  จึงทูลขอโทษว่า  "ข้าแต่พระทูลกระหม่อม  ตาบุตรหม่อมฉันก็ประทุไปแล้ว  ขอได้โปรดประทานโทษให้เถิด"  ท้าวธตรฐจึงยอมยกโทษให้  นางสมุททชาเทวีจึงทราบในวันนั้นว่า  ที่ที่ตนอยู่นั้นเป็นนาคพิภพ

ต่อมาท้าวธตรฐได้แบ่งราชสมบัติให้แก่โอรสทั้ง ๔  เท่า ๆ  กัน  โดยต่างคนต่างปกครองอยู่คนละเขต  บุตรทั้ง ๓  นอกจากทัตตะ  ย่อมพากันมาเฝ้าพระบิดามารดาเดือนละครั้ง  ส่วนทัตตะมาเยี่ยมทุกกึ่งเดือน  ทั้งได้ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ  และยังขึ้นไปเฝ้าท้าววิรูปักขมหาราชกับพระบิดาเสมอ  ปัญหาที่เกิดขึ้นในสำนักวิรูปักขมหาราชนั้น  ก็ได้ทัตตะช่วยแก้ไขด้วย  และด้วยความปรีชาสามารถในการแก้ปัญหาต่าง ๆ  ดังนี้  เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างเทพยดาซึ่งไม่มีใครแก้ไขได้  ทัตตกุมารก็ได้รับเชิญให้ขึ้นบัลลังก์ช่วยแก้ปัญหานั้น  ในที่สุดท้าวสักกเทวราชเห็นว่า  ทัตตะเป็นผู้มีปรีชาสามารถยอดเยี่ยม  จึงพระราชทานนามให้เป็นเกียรติว่า  "ภูริทัตตะ"  (ทัตตะผู้เรืองปัญญา)

เมื่อภูริทัตตะขึ้นไปเฝ้าท้าวสักกเทวราช  แลเห็นเวชยันต์ปราสาทงดงามพรั่งพร้อมด้วยเทพอัปสร  เป็นที่รื่นรมย์ใจยิ่งนัก  ก็มีความรักใคร่ในเทวโลก  คิดเห็นว่า  การที่จะเป็นนาคมีกบเขียดเป็นอาหารเช่นตัวเราขณะนี้ไม่เป็นสิ่งที่น่าปรารถนาเสียเลย  เราจะกลับลงไปยังนาคพิภพแล้วตั้งใจรักษาอุโบสถ  ก็จะเป็นหนทางให้เรามาเกิดในเทวโลกนี้ได้  ครั้นกลับลงมาถึงนาพิภพแล้ว  จึงเข้าไปทูลพระชนกชนนีขอลาไปรักษาอุโบสถ  พระชนกชนนีก็ตอบอนุญาต  แต่ขออย่าไปรักษาภายนอก  จงรักษาอยู่ใวิมานว่างเปล่าสักแห่งหนึ่งภายในนาคพิภพนี้  เพราะว่านาคที่ออกไปนอกพิภพแล้ว  มักมีภัยเกิดขึ้นได้มาก  ภูริทัตตกุมารก็รับคำ  แล้วไปรักษาอุโบสถอยู่ในวิมานว่างเปล่าภายในอุทยานนั้น  ฝ่ายนางนาคมาณวิกาาทั้งหลายก็พากันถือเครื่องดนตรีต่าง ๆ  ไปห้อมล้อมขับกล่อมอยู่

ภูริทัตตกุมารเห็นว่า  การรักษาอุโบสถในสถานที่เช่นนี้  คงทำได้ไม่ดีถึงที่สุด  เราจักไปรักษาอุโบสถในเมืองมนุษย์  คิดดังนั้นแล้วก็มิได้ลาพระชนกชนนีเพราะกลัวว่าจะถูกห้ามปราม  เป็นแต่เรียกชายาเข้ามาสั่งว่า  "เราจะไปรักษาอุโบสถในโลกมนุษย์  จะขดขนดกายนอนบนจอมปลวกใกล้ต้นไทรใหญ่ริมแม่น้ำยมุนา  เมื่อเรารักษาตลอดคืนแล้ว  ถึงเวลารุ่งอรุณพวกเจ้าจงเป็นเวรกัน  เวรละ  ๑๐  นาง  ไปรับเรามายังนาคพิภพนี้"  สั่งแล้วก็ตรงไปสู่ที่หมาย  ม้วนขนดกายอยู่บนจอมปลวกอธิษฐานอุโบสถประกอบด้วยองค์  ๔  ว่า  "ผู้ใดต้องการหนังก็ดี  เอ็นก็ดี  กระดูกก็ดี  เลือดก็ดี  จงนำเอาไปตามต้องการเถิด"  และเนรมิตกายให้เล็กเท่างอนไถ   นอนรักษาอุโบสถอยู่  พอรู่งอรุณขึ้น  นางนาคมาณวิกา  ๑๐  นาง  ก็พากันมาปรนนิบัติและพาไปยังนาคพิภพ  ภูริทัตตกุมารรักษาอุโบสถโดยวิธีนี้  อยู่ช้านาน"


...............................


(ยังมีต่ออีก)












วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต (หน้า ๒)


พระราชบุตรเฝ้าวิงวอนอยู่อีกวันหนึ่ง  แต่นางนาคก็ไม่ยอมไป  และนางทูลว่า  "บุตรและธิดาของหม่อมฉันทั้งสองเป็นเชื้อชาติมนุษย์เช่นพระองค์  หากทรงเมตตาหม่อมฉันแล้ว  ก็ขอให้ทรงโปรดถนอมเลี้ยงดูให้จงดี  เพราะบุตรทั้งสองนี้สืบเนื่องมาจากพืชทางธาตุน้ำ  เป็นชาติละเอียดอ่อน  เมื่อถูกลมแดดในระหว่างทางอาจสิ้นชีวิตได้  ขอให้พระองค์ทรงพระกรุณาให้คนขุดเรือขังน้ำเต็ม  ให้ลูกทั้งสองลงเล่นในลำเรือขณะเดินทาง  เมื่อถึงพระนครแล้วขอให้ขุดสระโบกขรณีสำหรับลูกจะได้เล่น  เมื่อพระองค์ทรงทำได้ดังนี้  ลูกทั้งสองก็จะมิได้ลำบาก"  ทูลดังนี้แล้ว  จึงมอบลูกทั้งสองให้ด้วยน้ำตาอาบหน้า  ร้องไห้คร่ำครวญแล้วก็หายไปยังนาคพิภพ

ฝ่ายพระราชบุตรทรงโทมนัสอย่างสุดแสน  เสด็จไปหาพวกอำมาตย์  บรรดาอำมาตย์ทั้งปวงจึงพร้อมกันอภิเษกพระราชบุตร  ณ  ที่นั้น  ครั้นเสร็จแล้วก็ทูลเชิญเสด็จสู่พระนคร  พระราชบุตรจึงสั่งให้ขุดเรือยกขึ้นวางบนเกวียน  ตักน้ำใส่ให้เต็มและลอยดอกไม้ต่าง ๆ  ให้ราชบุตรและราชธิดาลงเล่นตามสบาย  อำมาตย์รับปฏิบัติตามรับสั่งทุกประการ  เมื่อถึงพระนครแล้วก็ตรัสสั่งให้ขุดสระโบกขรณี  สำหรับเป็นที่เล่นสำราญของพระราชบุตรและราชธิดา  ตามที่นางนาคมาณวิกาทูลทุกประการ


เต่าฉลาด

วันหนึ่ง  เมื่อน้ำไหลเข้าไปในสระโบกขรณี  มีเต่าตัวหนึ่งตามเข้าไปด้วย  ครั้นหาทางออกไม่ได้จึงดำลงไปอยู่ก้นสระ  เวลาพระราชกุมารและราชกุมารีมาเล่นน้ำก็โผล่ขึ้นมาดู  ทำให้ทั้งสองพระองค์ตกพระทัยกลัว  พากันขึ้นไปเฝ้าพระราชบิดา  พระราชบิดาจึงรับสั่งขึงตาข่ายจับเต่าตัวนั้นมา  ราชโอรสทั้งสองแลเห็นก็จำได้  จึงส่งสำเนียงเอ็ดอึงไปว่า  นี่แหละไอ้ปีศาจร้าย  พระราชบิดา  จึงรับสั่งให้ลงโทษเต่านั้นให้จงหนัก

พวกอำมาตย์จึงปรึกษากันว่าจะลงโทษอย่างไรดีจึงจะหนัก  บางคนว่าควรจับหงายเผาไฟ  บางคนว่า  ควรใส่ครกตำให้ละเอียด  บางคนก็ว่า  ควรใส่กระทะต้ม  มีอำมาตย์คนหนึ่งเป็นโรคกลัวน้ำเสนอวา  ควรเอาไปทิ้งที่วังน้ำวนในแม่น้ำยมุนา  มันจะได้พินาศไปในวังน้ำนั้น  ทำโทษอย่างอื่นไม่ดีไปกว่านี้เลย

เต่าได้ยินข้อเสนอของอำมาตย์ในเรื่องประหารตน  จึงยืดหัวออกมาแล้วกล่าวขึ้นอย่างโกรธแค้นว่า  "เราทำผิดอะไรไว้แก่พวกเจ้านักหนา  จึงลงโทษให้เอาเราไปทิ้งวังน้ำวนนั้น  ทำอย่างอื่นเราพอจะทนได้  แต่จะเอาเราไปทิ้งที่วังน้ำนั้น  ทารุณร้ายกาจเหลือเกิน  ขออย่าได้ทำอย่างนั้นแก่เราเลย"

พระราชาทรงสดับดังนั้น  จึงรับสั่่งให้เอาไปทิ้งเสียที่วังน้ำวนในแม่น้ำยมุนา  เด่าตัวนั้นจึงจมลงไปถึงล่องน้ำ  ซึ่งเป็นช่องทางที่จะไปยังนาคพิภพ  ก็เลยตกไปอยู่ในเมืองนาค

ขณะนั้น  นาคมาณพโอรสท้าวธตรฐกำลังเล่นน้ำอยู่ที่ปล่องนั้น  พบเต่าเข้าจึงให้จับไว้  เต่าจึงคิดว่า  "เราหลุดจากเงื้อมมือพระเจ้าพาราณสีมาแล้ว  คราวนี้มาตกอยู้ในเงื้อมมือพวกนาคที่หยาบช้าอีกเล่า  เราจะออกอุบายอย่างไรดีหนอ  จำเราจะต้องออกอุบายเอาตัวรอดให้ได้"  แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า  "เราเป็นเต่าชื่อ จิตจูฬ  เป็นทูตของพระเจ้าพาราณสีให้มาเฝ้าท้าวธตรฐ  ด้วยมีพระประสงค์จะถวายราชธิดาแก่ท้าวธตรฐ  ท่านทั้งหลายจงนำเราไปเฝ้าเถิด"   นาคมาณพพากันหลงเชื่อจึงนำไปเฝ้าท้าวธตรฐ  แล้วทูลให้ทรงทราบว่า  เป็นทูตของพระเจ้าพาราณสี จะนำข่าวดีมาแจ้ง  พอท้าวธตรฐทอดพระเนตรเห็นก็ไม่พอพระทัย  ทรงตำหนิว่า  "ทูตอะไรรูปร่างแสนจะลามก  ไม่มีท่าทางจะทำหน้าที่ทูลได้"  เต่าจึงทูลอวดอ้างตนว่า  "ทำไมผู้ที่เป็นทูตนั้นจะต้องมีรูปร่างใหญ่โตนักเชียวหรือ  รูปร่างนั้นจะถือเอาเป็นประมาณไม่ได้  กิจการงานที่จะทำให้สำเร็จในหน้าที่นั้นสิ  เป็นประมาณที่แน่นอน  ทูตของพระเจ้าพาราณสีนั้นมีมาก  พวกมนุษย์ก็ทำหน้าที่ทางบก  พวกนกก็ทำหน้าที่ทางอากาศ  ข้าพระบาทชื่อว่า   จิตจูฬ  ได้รับตำแหน่งหน้าที่ทางน้ำ  เป็นราชวัลลภ  มีบ้านส่วยสาอากรเป็นหลักฐาน"  ท้าวธตรฐทรงยอมฟัง  จึงตรัสถามว่า  "พระเจ้าพาราณสีมีพระประสงค์อย่างไร ?"

"ข้าแต่พระมหาราช  พระเจ้าพาราณสีมีรับสั่งว่า  ได้ทำพระราชไมตรีมาทั่วสากลทวีปแล้ว  ควรทำกับท้าวธตรฐอีก  รับสั่งมาว่า  จะถวายนางสมุททชาราชธิดาให้แก่พระองค์  ขอให้พระองค์จงรีบส่งราชบุรุษไปกับข้าพระองค์  เพื่อนัดหมายกำหนดรับตัวราชธิดามาโดยเร็วเถิด"  เต้ากราบทูล

ท้าวธตรฐจึงให้นาคมาณพ  ๔  ตนไปกับเต่านั้น  และกำชับให้ฟังกระแสรับสั่งของพระเจ้าพาราณสี  
แล้วกำหนดวันรับตัวราชธิดามา

นาคมาณพทั้ง  ๔  จึงเดินทางมากับเต่ามุ่งไปเมืองพาราณสี  ในขณะเดินทางเต่าแลเห็นสระบัวในระหว่างทาง  จึงพูดขึ้นว่า  "ท่านนาคมาณพ  พระเจ้าพาราณสีก็ดี  พระมเหสีและราชโอรสก็ดี  เห็นข้าพเจ้าไปเที่ยวทางน้ำกลับมาแล้ว  มักจะขอดอกบัวและเง่าบัวเสมอ ๆ  ข้าพเจ้าจะต้องลงไปในสระเก็บดอกบัวไปถวายเจ้านายก่อน  ถ้าข้าพเจ้าช้าไป  ท่านจะล่วงหน้าไปก่อนก็ได้  แล้วเราจะไปพบกันที่ราชสำนักทีเดียว"

นาคมาณพทั้ง  ๔  หลงเชื่อจึงปล่อยเต่าลงสระบัว  เมื่อเต่าพ้นมือพวกนาคมาณพแล้วก็เข้าไปซ่อนอยู่ในที่ลับแห่งหนึ่ง  พวกนาคมาณพเห็นช้ามาก  จึงล่วงหน้าไปก่อน  แปลงเพศเป็นมาณพเข้าเฝ้าพระเจ้าพาราณสี

พระเจ้าพาราณสีทรงต้อนรับและตรัสถามว่า  "พวกท่านมาแต่ไหนกัน ?"

"ข้าพระองค์มาจากเมืองท้าวธตรฐนาคราช"

"มีธุระอันใดหรือ ?"

"ข้าพระองค์เป็นทูตของท้าวธตรฐ  ท้าวธตรฐทรงมอบถวายสิ่งของในนาคพิภพ่ที่พระองค์ต้องประสงค์ เพราะไได้ทรงสดับว่า  พระองค์จะประทานพระราชธิดาชื่อสมุททชาให้"

"แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีประเพณีที่มนุษย์จะทำการวิวาห์กับนาค  การวิวาห์อันไม่สมควรนั้นจะทำได้อย่างไรกัน" พระเจ้าพาราณสีตรัสอย่างไม่พอพระราชหฤทัย

"ถ้าการวิวาห์ไม่สมควรกันแล้ว  ทำไมพระองค์จึงส่งเต่าชื่อจิจูฬไปเป็นทูตว่า  จะประทาพระนางสมุททชาให้เล่า  การที่พระองค์ส่งทูตไปเชิญนั้น  แต่บัดนี้กลับมาดูถูกดูหมิ่นพระราชาของข้าพระองค์เสียอีก"  พวกนาคมาณพกล่าวด้วยความโกรธเคือง  แล้วจึงขู่พระเจ้าพาราณสีว่า  "การที่พระองค์กระทำเช่นนี้  ถ้าพวกนาคโกรธขึ้นมาแล้ว  พระองค์จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร  เพราะพระองค์เป็นมนุษย์  ไม่มีฤทธิ์  มาดูหมิ่นนาคแม่น้ำยมุนาผู้เรืองฤทธิ์เช่นนี้  จะมีภัยพิบัติเสียแน่แล้ว"

"เรามิได้ดูหมิ่นท้าวธตรฐผู้เรืองยศ  แต่ท้าวธตรฐเป็นงูไม่คู่ควรกับธิดาของเราซึ่งเป็นมนุษย์  เรื่องมันเป็นไปไม่ได้  ฉะนี้แหละท่านนาคมาณพ"  พระเจ้าพาราณสีทรงรับสั่ง


...............................


(ยังมีต่ออีก)






















วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต (หน้า ๑)




พระภูริทัติ


นานมาแล้ว  สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองเมืองพาราณสี  พระองค์ได้พระราชทานตำแหน่ง  "อุปราช"  ให้พระราชโอรส  แต่ภายหลังทรงระแวงพระทัยว่า  พระราชโอรสจะชิงราชสมบัติ  จึงรับสั่งให้เข้ามาเฝ้า  แล้วตรัสว่า  "เจ้าจงออกไปอยู่ประเทศใดประเทศหนึ่งตามใจสมัคร  เมื่อพ่อสิ้นอายุแล้ว  จึงกลับมาครองราชสมบัติสืบต่อไป"  พระโอรสรับพระกระแสพระบรมราชโองการ แล้วกราบถวายบังคมลา เสด็จดำเนินไปจนถึงแมน้ำยมุนา  ได้สร้างศาลาขึ้นหนึ่งหลังระหว่างแมน้ำยมุนาและทะเลกับภูเขาต่อกัน  อาศัยผลไม้เลี้ยงชีพ

มีนางนาคคนหนึ่งเป็นนาคทะเล  สามีตาย  เมื่อเห็นนางนาคอื่น ๆ  เขามีสามีอยู่ด้วย  ก็เกิดความว้าเหว่  จึงออกเที่ยวเลียบไปตามฝั่งทะเล  พบรอยเท้าพระราชบุตรเข้า  จึงสะกดรอยไปจนพบศาลา  เวลานั้นพระราชบุตรไม่อยู่  นางจึงเข้าไปในศาลา  เห็นเครื่องปูลาดและบริขารอื่น ๆ  จึงตั้งข้อสังเกตว่า  ศาลานี้น่าเป็นที่อยู่ของนักบวชรูปหนึ่ง  นางจึงคิดอยากจะทดลองให้รู้ว่า  นักบวชรูปนี้จะบวชด้วยศรัทธาหรือไม่  ถ้าบวชด้วยศรัทธากจะมีความหนักแน่นไม่ยินดีในที่นอนที่แต่งไว้  ถ้าไม่บวชด้วยศรัทธาก็จะนอนลงบนที่นอนที่แต่งไว้ให้  แล้วนางก็จะได้โลมเล้าเอาเป็นสามีเสียแลย  นางนาคก็ไปนำเอาดอกไม้  เครื่องประดับและน้ำหอมมาจากนาคพิภพ  โปรยปรายประพรหมลงบนที่นอน  เสร็จแล้วก้กลับไป

พระราชบุตรกลับมาตอเย็น  เข้าไปในศาลาเห็นผิดปรกติก้ให้นึกฉงน  เสวยผลไปพลางชมไปพลาง  ค่าที่ตนไม่ได้บวชด้วยศรัทธา  บรรทมหลับตลอดคืนด้วยความพอใจจนพระอาทิตย์ขึ้น  ลุกจากที่นอนยังไม่ทันปัดกวาดก็รีบเด็จเข้าป่าหาผลไม้ต่อไป

ฝ่ายนางนาคเมื่อมาเห็นดอกไม้เหี่ยวแห้งไป  ก็เข้าใจชัดว่า  นักพรตผู้นี้มิได้บวชด้วยศรัทธาจริง  ยังยินดีในกามารมณ์อยู่มาก  จึงเก็บของเก่าทิ้ง  แล้วนำของใหม่มาประดับประดาอีก  เสร็จแล้วก็กลับไป  ในวันนั้น  พระราชบุตรก็บรรทมบนดอกไม้หลับไปจนรุ่งเช้า ทรงคิดว่า  ใครหนอที่มาทำให้เราเช่นนี้  วันนั้นจึงไม่เสด็จไปหาผลไม้  แต่ออกไปยืนกำบังอยู่ในที่ใกล้ ๆ  ศาลา ฝ่ายนางนาคก็เตรียมดอกไม้และของหอมมายังศาลานั้นอีก  พระราชบุตรเห็นรูปทรงอันงดงามของนางเข้าก็เกิดรักใคร่  พอนางนาคเข้าไปในศาลา  ขณะกำลังประดับตกแต่งที่นอนอยู่นั่นเอง  พระราชบุตรก็ย่อมเข้าไปแล้วถามว่า  "เจ้าชื่ออะไร ?"

"ดิฉันชื่อนาคมาณวิกาค่ะ"

"มีสามีแล้วหรือยัง ?"

"ขณะนี้เป็นหม้ายค่ะ  ก็ท่านล่ะ  เดิมอยู่ไหนและชื่ออะไร ?"

"เราเป็นโอรสพระเจ้าพรหมทัต  ทำไมเจ้าจึงมาเที่ยวอยู่ในที่นี้เล่า ?"

"ดิฉันเห็นเพื่อนเขามีสามีอยู่กินกันอย่างเป็นสุข  ก็ให้รู้สึกว้าเหว่อยากจะได้สามีบ้างจึงมาเที่ยวแสวงหาอยู่เช่นนี้แหละค่ะ"

"ดูก่อนนางผู้เจริญ  กระนั้นก็ดีแล้ว  เราเองก็มิได้บวชด้วยศรัทธา  พระราชบิดาขับไล่ให้มาอยู่ที่นี่  เรายินดีจะเป็นสามีเจ้า  เราทั้งสองจะอยู่ด้วยกัน  ณ  ที่นี้ต่อไป"  นางนาคก็ยินยอม

ต่อมา  นางนาคมาณวิกาก็ประสูติโอรสองค์หนึ่งให้ชื่อว่า  "สาครพรหมทัต"  เพราะประสูติที่ฝั่งแม่น้ำ  ครั้นต่อมาก็ประสูติธิดาอีกองค์หนึ่ง  ให้ชื่อว่า  "สมุททชา"  เพราะประสูติที่ฝั่งสมุทร

มีพรานป่าชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง  ท่องเที่ยวมาจนถึงศาลานั้น  พระราชบุตรจัดการต้อนรับ  พรานป่าจำพระราชบุตรได้จึงขออาศัยอยู่  ๒-๓  วัน  แล้วทูลลากลับเมืองพาราณสี  พอดีพระเจ้ากรุงพาราณสีสวรรคต  พวกอำมาตย์ได้จัดการปลงพระศพเสร็จแล้ว  จึงประชุมปรึกษากันว่า  ราชสมบัติขาดกษัตริย์ปกครองจะดำรงอยู่ไม่ได้  พระราชบุตรก็ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด  จะมีพระชนม์อยู่หรือไม่ก็ไม่ทราบ  ขณะที่อำมาตย์ปรึกษากันอยู่นั้น  ก็พอดีพรานป่ากลับถึงพระนคร  จึงเข้าไปเล่าเรื่องที่ตนได้ไปพบพระราชบุตรให้อำมาตย์ฟัง  อำมาตย์จึงให้รางวัลและให้พาไปเฝ้าพระราชบุตร  และทูลเชิญให้ครองราชสมบัติสืบต่อพระราชบิดา

ฝ่ายพระราชบุตรใคร่จะรู้ใจนางนาคมาณวิกา  จึงเข้าไปหาแล้วแจ้งเรื่องให้ฟังพร้อมกับชักชวนนางไปด้วย

"น้องจะไปเมืองพาราณสีกับพี่หรือไม่ ?

"หม่อมฉันไม่กลับจะตามเสด็จไป"

"เพราะเหตุใด ?"

"เพราะหม่อมฉันเป็นชาตินาคมีพิษร้าย  มักฉุนเฉียวเมื่อมีเหตุเล็กน้อยมากระทบกระเทือนใจก็มักโกรธ  การอยู่ร่วมกับหญิงหลายคนที่ร่วมผัวกันเป็นเรื่องหนักใจมาก  ถ้าหม่อมฉันได้เห็นได้ยินเหตุการณ์ที่จะทำให้โกรธแล้ว  หากหม่อมฉันโกรธและถลึงตาดูแล้วจะพากันไหม้ย่อยยับไปหมด  ด้วยเหตุนี้แหละ  หม่อมฉันจึงไม่กล้าตามเสด็จไปได้


......................................


จาก   หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย   แปลก  สนธิรักษ์















วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๕๑)


มโหสธได้รับยกย่องว่า  เป็นยอดมหาบัณฑิต

พระเจ้าจุลนีทรงยกย่องเกียรติคุณของมโหสธให้ปรากฏ  ประดุจบุคคลยกมณฑลแห่งดวงจันทร์ให้ปรากฏฉะนั้น

นางเภรีปริพาชิกาได้นำพระดำรัสของพระเจ้าจุลนีไปแจ้งให้มโหสธทราบ  จนมโหสธหมดความแคลงใจ   ต่อมาเมื่อนางจะสรรเสริญยกย่องมโหสธ  จึงได้พูดในทามกลางชุมนุมชนว่า

"ปัญญามีประโยชน์ใหญ่หลวง  สุขุม  ละเอียด  ให้สำเร็จ
ประโยชน์ทั้งในภพนี้และภพหน้า  ดังเช่นมโหสธบัณฑิต
ซึ่งเป็นยอดมหาบัณฑิตเพราะมีปัญญาประเสริฐ  ฉะนี้"


นตฺถิ  ปญฺญาสมา  อาภา
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญา  ไม่มี

ปญฺญา  นรานํ  รตนํ
ปัญญาเป็นรตนะของนรชนทั้งหลาย

ปญฺญา  หิ  เสฏฐา  กุสลา  วทนฺติ
ปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า  ปัญญานั่นแหละประเสริฐที่สุด


..............................


จาก  หนังสือศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย  แปลก  สนธิรักษ์

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๕๐)


นางเภรีปริพาชิกากราบทูลว่า  "ขอถวายพระพร  พระองค์จะทรงส่งพระชนนีของพระองค์ไป  ด้วยเหตุผลดังที่ตรัสมานั้นสมควรแล้ว  แต่อาตมายังสงสัยต่อไป  คือ  พระมเหสีพระองค์พระนามว่านันทาเทวี  ทรงมีลักษณะงาม  มารยาทสลวย  มีพระสุรเสียงไพเราะ  ไฉนพระองค์จึงจักทรงส่งพระมเหสีไปให้ผีเสื้อสมุทรกินเสีย ?"

พระเจ้าจุลนีตรัสว่า

"นางนันทาดีจริง  ดังที่แม่คุณเจ้ากล่าว  แต่นาง
นันทาก็ยังมีส่วนเสีย  ชอบขอเครื่องประดับ  ซึ่งข้าพเจ้า
ให้แก่บุตรธิดา  และชายาอื่น ๆ  ไปแล้ว  หากไม่ได้ก็ไป
ข่มขู่ยื้อแย่งเอาจนได้  ด้วยเหตุนี้  ข้าพเจ้าจึงจะส่งมเหสีไป
ให้ผีเสื้อสมุทรกินเสีย"

นางเภรีทูลถามถึงคนต่อ ๆ  ไป  เช่น พระอนุชา  พระสหาย  พราหมณ์เกวัฏ  ว่า  "เพราะเหตุไร  จึงจะทรงส่งคนพวกนี้ไปให้ผีเสื้อสมุทรกิน ?"

พระเจ้าจุลนีทรงชี้โทษของคนเหล่านั้นเป็นคน ๆ  ไปว่า

"พระอนุชาของข้าพจ้าชอบดูหมิ่นข้าพเจ้าโดยชอบ
ข้าพเจ้าเป็นราชาอยู่ได้ก็เพราะเขา
พูดเสมอว่า  บ้านเมืองเจริญขึ้นทุกวันนี้  ก็เพราะเขา

พระสหายของข้าพเจ้าชื่อธนูเสขกุมาร  ซึ่งเป็นสหชาติ
กับข้าพเจ้า  เมื่อสมัยยังเป็นเด็ก  เราเป็นเพื่อนสนิทกัน
เล่นหัวด้วยกัน  บัดนี้  ข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินเข้าก็
ยังมาเล่นหัวกับข้าพเจ้าเกินของเขต  ไม่รู้จักกาลเทศะ
ข้าพเจ้าอยู่สองต่อสองกับนางนันทาเทวีในที่ลับ  เขาก็
เข้าไปหาข้าพเจ้าโดยมิได้เรียกหา  เป็นการเสียมารยาท
อย่างยิ่ง  เพราะเป็นคนไม่รู้จักกาลเทศะ

พราหมณ์เกวัฏ  ขณะลืมตาดูข้าพเจ้าในท่ามกลาง
บริษัท  ทำเป็นเหมือนขัดเคืองข้าพเจ้า  ไม่มีแววแห่ง
ความจงรักภักดีต่อข้าพเจ้าเลย
ด้วยเหตุนี้แหละแม่คุณเจ้า  ข้าพเจ้าจึงส่งคนเหล่านี้ไปให้ผีเสื้อสมุทรกินเสีย"

นางเภรีปริพาชิกา  ได้ทูลถามถึงมโหสธว่า

"ขอถวายพระพร  พระองค์ทรงมีหมู่อำมาตย์
แวดล้อมเป็นราชบริพาร  ทรงเป็นมหาราชาธิราชใน
สกลชมพูทวีป  ทรงเป็นเอกราชในปฐพีมีพระอิสริยยศ
ไพบูลย์  ทรงมีพระสนมนารี  ซึ่่งได้มาจากเมืองต่าง ๆ
ราว ๑๖,๐๐๐  นาง  แต่ละนางดุจเทพกัญญา  พระองค์
ทรงเปี่ยมด้วยความสุขทุกประการ  ที่ชาวโลกแสวงหา
เมื่อเป็นเช่นนี้  ไฉนพระองค์จะทรงสละพระชนม์
ชีพอันแสนสุขของพระองค์  เพื่อรักษามโหสธบัณฑิต"

พระเจ้าจุลนีพรรณนาคุณของมโหสธว่า

"ข้าแต่พระแม่นางเจ้า  ตั้งแต่มโหสธมารับ
ราชการกับข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าไม่เห็นมโหสธบัณฑิต
ทำชั่วแม้แต่น้อยเลย  ถึงหากมรณกรรมจะพึงมีแก่
ข้าพเจ้าในวันหนึ่ง  มโหสธก็จะคุ้มครองโอรสและ
นัดดา  ตลอดจนบรมวงศานุวงศ์ของข้าพเจ้า  ให้เป็น
สุขสืบต่อไปได้

มโหสธเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ทั้งปวง  ทั้งที่เป็น
อดีตและปัจจุบัน"

ด้วยเหตุนี้  ข้าพเจ้าจึงไม่ส่งมโหสธบัณฑิตผู้บริสุทธิ์ไปให้แก่ผีเสื้อสมุทรกินเป็นอันขาด"


...................................


จาก   หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย   แปลก  สนธิรักษ์

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๔๙)


มโหสธลองพระทัยพระเจ้าจุลนี

อยู่มาวันหนึ่ง  มโหสธครุ่นคิดอยู่ว่า  "พระราชาพระราชทานอิสริยยศยิ่งใหญ่แก่เราครั้งนี้  อาจจะเป็นไปได้ทั้งทรงปรารถนาดีต่อเรา  และทรงปรารถนาร้ายต่อเรา  เราจะทดลองพระราชาดูว่า  พระองค์จะปรารถนาดีต่อเราหรือไม่และเรื่องนี้ต้องอาศัยนางเภรีปริพาชิกาเป็นผู้ร่วมคิดจึงจะสำเร็จ"  คิดดังนั้นแล้ว  มโหสธจึงไปยังสำนักของนางปริพาชิกา  นมัสการแล้วพูดว่า  "ข้าแต่แม่คุณเจ้า  ตั้งแต่วันที่แม่คุณเจ้ากราบทูลยกย่องข้าพเจ้าแด่พระราชา  พระราชาได้พระราชทานอิสริยยศแก่ข้าพเจ้าใหญ่โต  จนทำให้ข้าพเจ้าต้องนึกไปว่า  การที่พระราชาพระราชทานยศแก่ข้าพเจ้านี้จะทรงปรารถนาดี  หรือปรารถนาร้ายอย่างใดอย่างหนึ่ง  ข้าพเจ้าไม่เห็นใครนอกจากแม่คุณเจ้าจะช่วยเหลือ  เพื่อได้ทราบว่า  พระราชาทรงโปรดปรานข้าพเจ้า  หรือเป็นเพียงอุบายอันหนึ่ง"

นางปริพาชิการับว่า  "ท่านบัณฑิต  อาตมาจะช่วยเหลือเพื่อทราบเรื่องนี้โดยอุบายอย่างหนึ่ง"

วันหนึ่ง  นางปริพาชิกาได้โอกาสอยู่สองต่อสองกับพระราชา  นางจึงทูลขอวโรกาสแก่พระราชาว่า  "ขอถวายพระพร  อาตมาขอโอกาสทูลถามปัญหากับพระองค์  หากมิทรงขัดข้องประการไร  และเมื่อได้รับราชานุญาตแล้ว"

พระราชาตรัส่า  "ข้าพเจ้าอนุญาต  เชิญแม่คุณเจ้าถามไปเถิด"

นางเภรีปริพาชิกา  เมื่อได้รับราชานุญาตแล้ว  จึงทูลถามว่า


"สมมติว่า  พระองค์ลอยเรือไปในกลางมหาสมุทร
พร้อมด้วยผู้ติดตาม  คือ  พระราชชนนี  พระมเหสี
พระอนุชา  พระสหาย  พราหมณ์เกวัฏและมโหสธบัณฑิต
หากผีเสื้อสมุทรยึดเรือไว้  แล้วขอให้พระองค์ทรงส่ง
คนในเรือไปให้ผีเสื้อกิน  ขอทูลถามว่า  พระองค์จะ
ทรงส่งใคร  ให้ผีเสื้อสมุทรกินเป็นลำดับ ๆ  ไป ?"


พระราชาตรัสไปตามที่เห็นสมครแก่พระองค์ว่า


"ข้าพเจ้าจะส่งพระราชมารดาก่อน  ต่อไปก็ส่งมเหสี
อนุชาเป็นลำดับไป  จนถึงสหาย  พราหมณ์เกวัฏ  และ
ตัวเอง  ส่วนมโหสธไม่ยอมให้เด็ดขาด"


นางเภรีปริพาชิกาทูลต่อไปว่า  "ข้าแต่มหาบพิตร  พระองค์รับสั่งว่าจะส่งพระชนนีก่อน  ธรรมดาว่า  มารดาย่อมมีคุณูปการมาก  ซึ่งยากจะหาผู้อื่นเปรียบได้  โดยเฉพาะพระราชชนนีของพระองค์พระองค์นี้  ได้ทรงปลดเปลื้องพระองค์ให้พ้นจากการลอบปลงพระชนม์ของพราหมณ์ชื่อฉัมภี  ทำให้พระองค์ได้รอดมาและทรงพระชนม์อยู่จนบัดนี้  ไฉนพระองค์จะทรงส่งพระราชชนนีไปให้ผีเสื้อสมุทรกินก่อนเล่า

พระเจ้าจุลนีได้สดับคำของนางปริพาชิกา  จึงตรัสว่า  "ข้าแต่แม่คุณเจ้า  คุณของพระชนนีมีมากจริง  และข้าพเจ้าก็รู้ว่า  พระชนนีมีคุณูปการแก่ข้าพเจ้า  แต่พระชนนีของข้าพเจ้าก็ทรงทำกิจอะไร ๆ  ที่ไม่ดีไว้มากเหมือนกัน  พระชนนีของข้าพเจ้าทรงชรามากแล้ว  แต่ก็ทำเป็นเหมือนหญิงสาว  ชอบตรัสซิกซี้สรวลเสเฮฮากับพวกรักษาประตูและพวกฝึกม้า  จนเกินเวลาอันสมควร

ยิ่งกว่านั้น  พระมารดาของข้าพเจ้ายังได้แต่งราชสาสน์ปลอมทำให้เป็นราชสาสน์ของข้าพเจ้า  ส่งไปถึงเจ้าประเทศราชว่า  พระชนนีของเรากำลังอยู่ในวัยที่น่ารัก  ขอให้เจ้าประเทศราชนั้นจงมานำพระชนนีของเราไปบำเรอเถิด  ข้าพเจ้าแสนที่จะอับอายขายหน้า  เมื่อมีอันเป็นขึ้นเช่นนี้  ไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน  นี่ดีแต่ว่าเจ้าประเทศราชเหล่านั้นยังนับถือข้าพเจ้าอยู่  แต่เขาหมดความนับถือพระชนนีของข้าพเจ้า  ด้วยเหตุนี้แหละ  ข้าพเจ้าจึงจะให้พระชนนีแก่ผีเสื้อสมุทรก่อนคนอื่น"


....................................


จาก   หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย  แปลก  สนธิรักษ์











วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๔๘)


มโหสธถูกใส่ความ

พระนางนันทาเทวีมเหสีพระเจ้าจุลนีทรงผูกพระทัยเจ็บแค้นมโหสธอยู่ตลอดเวลา  ที่มโหสธทำให้พระนางพลัดพรากจากพระสวามีเมื่อคราวที่แล้ว  พระนางจึงตรัสสั่งหญิงที่สนิท  ๕๐๐  นาง  ให้คอยจับ
ผิดมโหสธ  และจะได้ทูลให้พระราชาลงโทษเสียให้สมแค้น

ณ  พระราชนิเวศน์ของพระเจ้าจุลนี  มีปริพาชิกานางหนึ่งชื่อเภรี  ได้มาฉันภัตตาหารในพระราชนิเวศน์เป็นประจำ  นางเป็นบัณฑิตมีความเฉียบแหลมมาก  นางได้ทราบข่าวว่า  มโหสธบัณฑิตได้มาประจำอยู่ในราชสำนัก  แต่ยังไม่เคยเห็นหน้า  ทั้งมโหสธก็ยังไม่เคยเห็นนางเภรีปริพาชิกา  ได้ยินแต่กิตติศัพท์ว่านางฉลาดมาก  จึงอยากจะได้พบสนทนาด้วย  และนางเภรีปริพาชิกาก็ใคร่จะพบสนทนากับมโหสธ

วันหนึ่ง  มโหสธเดินมาถึงหน้าพระลาน  เพื่อจะเข้าเฝ้าตามปรกติ  พอดีกับนางเภรีฉันภัตตาหารเสร็จก็ออกไปพบกันที่หน้าพระลาน  มโหสธยกมือไหว้นางปริพาชิกา

นางปริพาชิกาคิดจะทดลองดูว่า  มโหสธเป็นบัณฑิตสมดังคำเล่าลือหรือไม่  จึงมองดูมโหสธแล้วแบมือออก  ความหมายในใจของนางก็คือจะถามว่า  "มโหสธมาอยู่กับพระเจ้าจุลนี  ได้รับความอุปถัมภ์จากพระองค์เป็นอย่างดีหรือไม่ได้รับอะไรเลย ?"

มโหสธทราบความหมายของนางปริพาชิกา  จึงกำมือตอบไป  ความหมายในใจมโหสธคือตอบว่า  "พระเจ้าจุลนีทรงเป็นเหมือนกำพระหัตถ์ไว้  ยังมิได้พระราชทานสิ่งที่พระองค์ไม่เคยพระราชทานแก่ข้าพเจ้าเลย"  ความหมายว่า  พระราชทานเฉพาะสิ่งที่เคยพระราชทานไว้แล้ว

นางปริพาชิกาทราบความในใจของมโหสธแล้ว  จึงได้ตั้งปัญหาต่อไปโดยยกมือขึ้นลูบศีรษะ  ความหมายก็คือถามว่า  "ทำไม  ท่านจึงไม่บวชเหมือนอาตมาเล่า"

มโหสธรู้ความหมาย  จึงตอบโดยเอามือลูบท้อง  ความหมายก็คือตอบว่า  "ข้าพเจ้าต้องเลี้ยงดูบุตรภรรยา  จึงยังบวชไม่ได้"

เมื่อทั้งสสองได้สนทนากันโดยให้รู้ความหมายกันด้วยท่าทางแล้วต่างก็ลากลับ  นางปริพาชิกากลับที่อยู่ของนาง  มโหสธไปรับราชการในราชสำนัก

บรรดาหญิงที่พระนางนันทาเทวีสั่งไว้ให้คอบจับข้อพิรุธของมโหสธยืนอยู่ที่หน้าต่าง  เห็นกิริยาอาการ
ของมโหสธกับนางปริพาชิกาเช่นนั้น  เข้าใจว่าคงจะมีเลสนัยอะไรสักอย่างหนึ่ง  จึงพากันไปเฝ้าพระเจ้า
จุลนี  กราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์  มโหสธกับนางเภรีปริพาชิกาคิดมิดีมิร้ายต่อพระองค์  หวังจะชิงราชสมบัติของพระองค์  เพคะ"

พระราชา  "พวกเจ้ารู้ได้อย่างไร ?"

หญิงเหล่านั้นทูลว่า  "ข้าแต่มหาราชเจ้า  นางปริพาชิกาฉันภัตตาหารในพระราชวังเสร็จแล้ว  ลงจากปราสาทไปพบกับมโหสธ  พวกหม่อมฉันได้เห็นนางปริพาชิกาทำรหัสลับกันกับมโหสธ  เพคะ"

พระราชา  "เขาทำรหัสอย่างไรกัน ?"

หญิงเหล่านั้น  "นางปริพาชิกาเหยียดมือไปให้มโหสธ  เพคะ"

พระราชา  "พวกเจ้าเข้าใจความหมายของเขาว่าอย่างไร ?"

หญิงเหล่านั้น  "พวกหม่อมฉันรู้ความหมายของนางปริพาชิกาที่เหยียดมือไปนั้น  เพื่อจะถามมโหสธว่า  ท่านสามารถจะทำพระราชาให้ราบคาบเหมือนฝ่ามือ  หรือให้ราบเหมือนลานนวดข้าว  แล้วชิงราชสมบัติได้หรือ"

พระราชา  "แล้วมโหสธแสดงกิริยาอย่างไร ?"

หญิงเหล่านั้น  "มโหสธได้กำมือตอบ  เพคะ"

พระราชา  "พวกเจ้าเข้าใจว่าอย่างไร ?"

หญิงเหล่านั้น  "พวกหม่อมฉันรู้ความหมายของมโหสธที่กำมือ  ก็คือแสดงอาการจับดาบแล้วจะตัดเศียรพระราชา  ชิงเอาราชสมบัติให้อยู่ในกำมือ"

พระราชา  "นางปริพาชิกาทำอย่างไรต่อไปอีก ?"

หญิงเหล่านั้น  "นางปริพาชิกายกมือขึ้นลูบศีรษะ  เพคะ"

พระราชา  "พวกเจ้าเข้าใจอย่างไร ?"

หญิงเหล่านั้น  "พวกหม่อมฉันเข้าใจความหมายของนางปริพาชิกาที่ยกมือขึ้นลูบศีรษะก็คือจะถามมโหสธว่า  ท่านเพียงจะตัดเศียรพระราชาอย่างเดียวหรือ"

พระราชา  "มโหสธทำอย่างไร ?"

หญิงเหล่านั้น  "มโหสธลูบท้องของตน  เพคะ"

พระราชา  "พวกเจ้าเข้าใจอย่างไร ?"

หญิงเหล่านั้น  "พวกกระหม่อมฉันเข้าใจความที่มโหสธเอามือลูบท้องของตนนั้น  ก็คือ  ตอบว่าไม่ใช่เพียงตัดศีรษะพระราชาอย่างเดียว  จะตัดกลางตัวด้วย  ข้าแต่พระองค์  ขอพระองค์อย่าได้ทรงไว้วางพระราชหฤทัยในมโหสธเลย  ควรฆ่ามโหสธก่อนเถิด  เพคะ"

พระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับถ้อยคำของคนเหล่านั้น  ทรงดำริว่า  "เป็นไปไม่ได้ที่มโหสธจะคิดประทุษร้ายเรา  เราต้องถามนางปริพาชิกาดูก่อน"

วันหนึ่ง  ขณะที่นางปริพาชิกาไปฉันในพระราชวังตามปรกติ  เมื่อฉันเสร็จแล้ว พระราชาจึงตรัสถามว่า  "ข้าแต่แม่คุณเจ้า  แม่คุณเจ้าได้พบกับมโหสธบ้างแล้วหรือ ?"

นางปริพาชิกาตอบ  "ขอถวายพระพร  เมื่อวานนี้  อาตมาฉันเสร็จแล้วออกจากที่นี่ได้พบกับมโหสธพอดี"

พระราชา  "แม่คุณเจ้าสนทนาอะไรกันบ้าง ?"

นางปริพาชิกาตอบ  "ขอถวายพระพร  ไม่ได้สนทนาอะไรกันมากนัก  เป็นแต่อาตมาได้ทราบว่า  มโหสธเธอเป็นนักปราชญ์  จึงทดลองปัญญาด้วยเครื่องหมายด้วยมือ  หากมโหสธเป็นนักปราชญ์จริงก็จะรู้ความหมายของปัญหา  อาตมาจึงได้แบมือออก  ความหมายก็คือถามว่า  พระราชาของท่านสงเคราะห์อะไรท่านบ้าง  หรือมิได้สงเคราะห์เลย  มโหสธรู้ความหมายจึงได้กำมือเป็นความหมายให้รู้ว่า  พระราชาทรงให้ปฏิญาณไว้แล้ว  แต่เวลานี้ยังไม่ได้พระราชทานอะไร  อาตมาจึงเอามือลูบศีรษะเป็นความหมายว่า  หากท่านลำบากทำไมไม่บวชเหมือนอาตมาเล่า  มโหสธลูบท้องให้ความหมายว่า  บุตรภรรยามีอยู่  จะต้องหาเลี้ยงให้เต็มปากเต็มท้อง  ถ้าบวชก็จะไม่มีใครเลี้ยงบุตรภรรยา  สนทนากันเพียงเท่านี้แล้วก็จากกันไป"

พระราชาตรัสถามว่า "ข้าแต่แม่คุณเจ้า  แม่คุณเจ้าเห็นว่า  มโหสธเป็นนักปราชญ์หรือไม่ ?"

นางปริพาชิกาตอบ  "ขอถวายพระพร  บนพื้นแผ่นดินนี้จะหาใครเป็นนักปราชญ์ยิ่งกว่ามโหสธไม่มีแล้ว"

พระราชาทรงสนทนากับนางปริพาชิกาพอสมควรแล้ว  ก็ทรงอาราธนาให้นางกลับ

เมื่อนางปริพาชิกากลับ  มโหสธก็เข้าเฝ้า  พระราชาตรัสถามมโหสธว่า  "ท่านบัณฑิต   ท่านได้พบนางปริพาชิกาแล้วหรือ ?"

มโหสธกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าพระพุทธเจ้าได้พบและได้สนทนากันโดยใช้มือเป็นเครื่องหมายให้รู้ความที่สนทนากัน  พระเจ้าข้า"

พระราชาทรงเลื่อมใสมโหสธมาก  จึงทรงแต่งตั้งให้มโหสธดำรงตำแหน่งเสนาบดีผู้ใหญ่ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา.


..............................


จาก  หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย  แปลก  สนธิรักษ์



















วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๔๗)


มโหสธไปรับราชการกับพระจุลนี

พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระราชโอรสกับพระนางปัญจาลจันที ๑ องค์  หลังจากที่ได้ทรงอยู่ร่วมกันมา ๒ ปี  เมื่อพระราชโอรสมีพระชนม์ได้ ๑๐ พรรษา  พระเจ้าวิเทหราชก็สวรรคต

พระราชโอรสผู้ทรงเป็นรัชทายาท  ก็ได้ทรงครองราชสมบัติสืบต่อจากพระชนก

มโหสธระลึกถึงคำปฏิญาณของตนที่ได้ถวายไว้แด่พระเจ้าจุลนีว่า  หากว่า  พระเจ้าวิเทหราชสวรรคต  และตนยังมีชีวิตอยู่  จะไปรับราชการ ณ ราชสำนักของพระเจ้าจุลนีแห่งอุตรปัญจาลนคร  เพื่อรักษาสัตย์ปฏิญาณนั้น  มโหสธจึงได้เข้าเฝ้าพระราชกุมารราชา  กราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าพระพุทธเจ้าได้ถวายสัตย์ปฏิญาณแด่พระจ้าจุลนี  พระอัยกาของพระองค์ว่า  เมื่อพระเจ้าวิเทหราชสวรรคตแล้ว  จักไปรับราชการ ณ อุตรปัญจาลนคร  เพื่อรักษาสัตย์ปกิญาณนั้น

พระราชกุมารทรงดำริว่า  "มโหสธรักษาสัตย์ปฏิญาณที่ได้ถวายไว้แด่พระอัยกาของเรา  หากจะห้ามก็คงไม่สำเร็จ  เพราะมโหสธเคารพในความสัตย์ยิ่งกว่าชีวิต"  ครั้นดำริดังนี้แล้ว  จึงตรัสว่า  "ท่านบัณฑิตไปเถิด  ไปอยู่กับพระอัยกา  แต่ขอให้ไปมาหาสู่ข้าพเจ้าบ้าง"

มโหสธ  เมื่อได้รับราชานุญาตจากพระกุมารราชาแล้ว  จึงกราบถวายบังคมลาออกมา  พอถึงเวลา
กำหนดก็พาคณะของตนเดินทางออกจากมิถิลานครไปสู่อุตรปัญจาลนคร

พระเจ้าจุลนีเมื่อทรงทราบว่า  มโหสธเดินทางมาถึงอุตรปัญจาลนคร  จึงตั้งกองต้อนรับนำมโหสธเข้าสู่พระนคร  พระราชทานบ้านให้มโหสธอยู่พร้อมด้วยคณะที่ติดตามมา  มโหสธรับราชการกับพระเจ้าจุลนี ด้วยความซื่อสัตยเป็นผาสุกตลอดมา


.................................


จาก   หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย   แปลก  สนธิรักษ์

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๔๖)


ส่งกษัตริย์ทั้งสามกลับอุตรปัญจาลนคร

ชาวพระนครตลอดจนชาวชนบท  เมื่อได้ฟังประกาศต่างก็สนุกสนานกัน  ได้ยกธงติดตั้งโดยทั่วไป

ฝ่ายใน  ซึ่งมีพระนางอุทุมพรราชเทวีเป็นกรรมการ  ก็ได้นำอาหารมาให้มโหสธ  พร้อมด้วยผู้ติดตามมาจากอุตรปัญจาลนคร

มโหสธได้ไปยังราชสำนักเป็นวันสุดท้ายของงการเล่นมหรสพ  เข้าไปกราบทูลพระราชา  "ข้าแต่สมมติเทพ  ควรที่พระองค์จะส่งพระราชชนนี พระราชเทวี  และพระราชโอรสของพระเจ้าจุลนี  กลับไปอุตรปัญ
จาลนครโดยเร็วเถิด  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชตรัสว่า  "ดีละพ่อมโหสธ  เจ้าจงจัดการส่งไปเถิด"

มโหสธได้จัดส่งเสด็จกษัตริย์ทั้งสามกลับอุตรปัญจาลนคร  ทั้งได้มอบภรรยา  ๑๐๐  คน  ทาสหญิง  ๔๐๐  คน  ที่พระเจ้าจุลนีพระราชทานแก่ตน  ถวายพระนางนันทาเทวีไปด้วย

พระนางนันทาเทวีทรงดีพระทัยที่จะได้กลับไปหาพระสวามี  แต่ก็ทรงเศร้าพระทัยที่จะต้องจากพระราชธิดา  พระนางได้สวมกอดพระธิดาจุมพิตพระเศียร  แล้วตรัสลาด้วยความอาลัยว่า  "ลูกหญิงของแม่  แม่ลาละนะ  ลูกอยู่ทางนี้จงทำตนให้เป็นที่รักของพระเจ้าวิเทหราชพระสวามีเถิดนะลูก"  ตรัสแล้วก็ทรงกรรแสงคร่ำครวญแทบขาดพระทัย

ฝ่ายพระนางปัญจาลจันที  ทรงกราบพระราชมารดาแล้ว  ก็ทรงโศกากรรแสงไห้  ตรัสอะไรไม่ออก  เมื่อกษัตริย์ทั้งสามเสด็จออกจากพระนคร  มีผู้ไปส่งเสด็จกันมากมาย  จนพ้นเขตมิถิลา  ผู้ไปส่งเสด็จจึงกลับ

พระจุลนีพรหมทัตทรงดีพระทัยที่ได้เห็นพระราชชนนี  พระมเหสีและพระราชบุตรกลับมา  ได้ตรัสสนทนากับพระราชชนนีว่า  "ข้าแต่พระมารดา  พระเจ้าวิเทหราชทรงปฏิบัติแก่มารดาอย่างไรบ้าง  หรือทรงเบียดเบียนให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างไรบ้าง ?"

พระนางสลากเทวีราชชนนีตรัสตอบว่า  "ตรัสอะไรอย่างนั้นลูก  พระเจ้าวิเทหราชปฏิบัติแก่มารดาเหมือนปฏิบัติแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์  ที่ควรแก่สักการบูชา  ปฏิบัติแก่นันทาเทวีเหมือนเป็นพระราชมารดา  ปฏิบัติแก่พ่อปัญจาลจันทกุมารเหมือนราชกนิกฐภาดา"

พระเจ้าจุลนีได้สดับพระราชมารดารับสั่ง ก็ทรงยินดียิ่งนัก  ได้ทรงส่งบรรณาการไปถวายพระเจ้าวิเทหราชเป็นอันมาก

ตั้งแต่นั้นมา  กษัตริย์ทั้งสองพระนครก็เชื่อมสัมพันธไมตรีต่อกันด้วยความพร้อมเพรียงชื่นชม  โดยสวัสดิภาพตลดมา.


...................................


จาก   หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย   แปลก  สนธิรักษ์