พระนารทะ "ถ้าอาตมภาพรู้ว่า พระองค์มีศีล จะทรงนำทรัพย์ไปทำประโยชน์ อาตมภาพจะให้ยืมสักห้าร้อย แต่นี่พระองค์ไม่มีศีล จุติจากโลกนี้ แล้วก็ไม่แคล้วนรก ใครจะไปตามทวงทรัพย์พันหนึงในนรกนั้นได้ ผู้ใดไม่มีศีลธรรม ประพฤติชั่ว เกียจคร้านในโลกนี้ บัณฑิตทั้งหลายย่อมไมยอมให้กู้หนี้ยืมสิน เพราะจะไม่ได้คืนจากคนนเช่นนั้น ส่วนผู้ขยัน หมั่นทำกิจการงานมีศีลธรรม เขาก็ย่อมจะเอาทรัพย์มาเชื้อเชิญให้เอง เพราะมองเห็นว่า จะได้คืน"
พระเจ้าอังคติราชหมดปฏิภาณที่จะโต้ตอบ แต่ยังไม่ทรงคลายมิจฉาทิฐิ พระนารทะจึงกล่าวต่อไปว่า "ถ้าพระองค์ยังไม่ทรงละมิจฉาทิฐิ ก็จักต้องเสด็จไปสู่นรกซึ่งเต็มไปด้วยทุกขเวทนา เมื่อพระองค์จากโลกนี้ไปแล้ว จะพบพระองค์เองว่า ถูกฝูงแร้งกาและสุนัขฉุดคร่ามากิน สรีระขาดเป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ มีเลือดไหลนอง ใครจะไปทวงทรัพย์ในนรกนั้นได้ ถ้าพระองค์ไม่ไปเกิดในที่นั่น ก็จะต้องไปเกิดในโล-
กันตนรก มืดมิดไม่มีพระอาทิตยพระจันทร์ส่องถึง หากลางคืนกลางวันมิได้ ใครจะไปทวงทรัพย์ในโลกันตนรกนั้นได้"
พระนารทะเห็นได้โอกาสที่พระเจ้าแผ่นดินจำนนต่อตนเช่นนั้น จึงได้พรรณนาวิบากกรรมในนรกต่าง ๆ อย่างน่าสยดสยองมากมายหลายอย่าง
พระเจ้าอังคติราชได้ทรงสดับเรื่องราวในนรกของพระฤษีนารทะอย่างนี้้ ก็ทรงสลดพระทัย รู้สึกพระองค์ว่าเดินทางผิดเสียแล้ว จึงตรัสว่า "ข้าพเจ้าแทบล้มทั้งยืน เข้าใจผิดจึงไม่รู้จักบาป ข้าแต่พระฤษี ข้าพเจ้าได้ฟังท่านแล้วร้อนใจกลัวภัยในนรก ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า เป็นประหนึ่งน้ำแก้กระหายในเวลาร้อน เป็นเกาะที่อาศัยในห้วงมหาสมุทร เป็นแสงสว่างส่องมาในที่มืด ขอท่านจงสอนอรรถธรรมแก่ข้าพเจ้าผู้ซึ่งได้หลงกระทำผิดมาก่อน ขอจงบอกหนทางที่จะไม่ไปยังนรกนั้นเถิด"
พระนารทะจึงทูลเรื่องโบราณกราชให้ฟังเป็นตัวอย่างว่า
"โบราณกษัตริย์ทั้งหลาย ได้กระทำการบำรุงสมณพราหมณ์แล้วเสด็จไปสู่สวรรค์เทวโลก ขอให้พระองค์จงละเว้นอธรรม ประพฤติแต่ธรรมอย่างกษัตริย์เหล่านั้นเถิด พระองค์จงให้ราชบุรุษไปประกาศว่า ใครหิวใครกระหาย ใครปรารถนาสิ่งใด ใครไม่มีผ้านุ่งผ้าห่ม ใครต้องการร่ม รองเท้า ก็ขอให้ได้สิ่งนั้น ๆ ให้ประกาศทั้งเช้าเย็น คนเฒ่า หรือโคแก่ ม้าแก่ ก็อย่าได้ใช้อย่างแต่ก่อน ผู้ที่เป็นกำลังเคยทำความดี พระองค์ก็พึงให้การบริหาร"
เมื่อพระนารทะได้แสดงทานกถา ศีลกถา ดังนี้แล้ว จึงดำริต่อไปว่า เราจะพรรณนาอัตภาพเปรียบด้วยรถถวายพระราชานี้ จึงแสดงธรรมโดยอุปมาดังต่อไปนี้
"ขอถวายพระพร ขอให้พระองค์จงสำคัญว่า ร่างกายพระองค์เป็นเช่นราชรถซึ่งมีใจเป็นนายสารถี กระปรี้กระเปร่า เพราะไม่มีถีนมิทธะ (ความง่วงเหงา) มีอหิงสา (ความไม่เบียดเบียน) เป็นเพลา มีการการบริจาคเป็นนหลังคา มีการสำรวมเท้าเป็นกง มีการสำรวมมือเป็นกะพอง มีการบริโภคอาหารพอประมาณเป็นน้ำมันชโลมทา มีการสำรวมวาจาเป็นอาการเงียบสนิท มีการกล่าาวคำสัตย์เป็นองค์รถอันสมบูรณ์ มีความศรัทธาและอโลภะเป็นเครื่องประดับ มีความเคารพนบไหว้เป็นทูบ มีความอ่อนโยนเป็นงอนรถ มีศีลเป็นเชือกขันชะเนาะ มีความไม่โกรธเป็นอาการไม่สะเทือน มีการบำเพ็ญกุศลเป็นเศวตฉัตร มีพาหุสัจจะเป็นทาน มีการตั้งจิตมั่นเป็นที่นั่ง มีการถ่อมตนเป็นเชือกแอก มีสติเป็นปฏัก มีความเพียรเป็นบังเหียน มีใจที่ฝึกฝนดีแล้วเป็นม้าสำหรับลากรถ ความโลภเป็นหนทาางคด ความสำรวมใจเป็นทางตรง ขอถวายพระพร เมื่อกายราชรถแล่นไปในรูปเสียงกลิ่นรส ต้องใช้ปัญญาเป็นห้ามล้อ ถ้าพระองค์ทรงประพฤติชอบ มีความเพียรมั่นอยู่ได้แล้วไซร้ รถนั้นจะอำนวยสรรพสมบัติไม่พาพระองค์ไปนรกแน่แท้"
ครั้นพระนารทะแสดงธรรมถวายพระเจ้าอังคติราชให้ทรงละมิจฉาทิฐิ ตั้งอยู่ในศีลฉะนี้แล้ว จึงถวายโอวาทว่า "ต่อแต่นี้ไป ขอพระองค์จงละบาปมิตร คบแต่กัลยาณมิตร อย่าได้ทรงประมาทเลย"
ขณะที่มหาชนกำลังดูอยู่นั้น พระนารทะได้กลับไปเสียแล้ว
พระเจ้าอังคติราชทรงตั้งมั่นอยู่ในโอวาทของพระนารทะ ทรงละมิจฉาทิฐิ เริ่มทำบุญให้ทาน และทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม นำความสุขมาสู่ประชาชนและประเทศชาติของพระองค์อย่างเดิม
เรื่องนี้เก็บความจากนารทชาดก คติธรรมที่ได้จากเรื่องนี้ คือ
การเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม การคบมิตร
จาก....หนังสือทศชาติชาดก (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย.....แปลก สนธิรักษ์
พระเจ้าอังคติราชหมดปฏิภาณที่จะโต้ตอบ แต่ยังไม่ทรงคลายมิจฉาทิฐิ พระนารทะจึงกล่าวต่อไปว่า "ถ้าพระองค์ยังไม่ทรงละมิจฉาทิฐิ ก็จักต้องเสด็จไปสู่นรกซึ่งเต็มไปด้วยทุกขเวทนา เมื่อพระองค์จากโลกนี้ไปแล้ว จะพบพระองค์เองว่า ถูกฝูงแร้งกาและสุนัขฉุดคร่ามากิน สรีระขาดเป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ มีเลือดไหลนอง ใครจะไปทวงทรัพย์ในนรกนั้นได้ ถ้าพระองค์ไม่ไปเกิดในที่นั่น ก็จะต้องไปเกิดในโล-
กันตนรก มืดมิดไม่มีพระอาทิตยพระจันทร์ส่องถึง หากลางคืนกลางวันมิได้ ใครจะไปทวงทรัพย์ในโลกันตนรกนั้นได้"
พระนารทะเห็นได้โอกาสที่พระเจ้าแผ่นดินจำนนต่อตนเช่นนั้น จึงได้พรรณนาวิบากกรรมในนรกต่าง ๆ อย่างน่าสยดสยองมากมายหลายอย่าง
พระเจ้าอังคติราชได้ทรงสดับเรื่องราวในนรกของพระฤษีนารทะอย่างนี้้ ก็ทรงสลดพระทัย รู้สึกพระองค์ว่าเดินทางผิดเสียแล้ว จึงตรัสว่า "ข้าพเจ้าแทบล้มทั้งยืน เข้าใจผิดจึงไม่รู้จักบาป ข้าแต่พระฤษี ข้าพเจ้าได้ฟังท่านแล้วร้อนใจกลัวภัยในนรก ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า เป็นประหนึ่งน้ำแก้กระหายในเวลาร้อน เป็นเกาะที่อาศัยในห้วงมหาสมุทร เป็นแสงสว่างส่องมาในที่มืด ขอท่านจงสอนอรรถธรรมแก่ข้าพเจ้าผู้ซึ่งได้หลงกระทำผิดมาก่อน ขอจงบอกหนทางที่จะไม่ไปยังนรกนั้นเถิด"
พระนารทะจึงทูลเรื่องโบราณกราชให้ฟังเป็นตัวอย่างว่า
"โบราณกษัตริย์ทั้งหลาย ได้กระทำการบำรุงสมณพราหมณ์แล้วเสด็จไปสู่สวรรค์เทวโลก ขอให้พระองค์จงละเว้นอธรรม ประพฤติแต่ธรรมอย่างกษัตริย์เหล่านั้นเถิด พระองค์จงให้ราชบุรุษไปประกาศว่า ใครหิวใครกระหาย ใครปรารถนาสิ่งใด ใครไม่มีผ้านุ่งผ้าห่ม ใครต้องการร่ม รองเท้า ก็ขอให้ได้สิ่งนั้น ๆ ให้ประกาศทั้งเช้าเย็น คนเฒ่า หรือโคแก่ ม้าแก่ ก็อย่าได้ใช้อย่างแต่ก่อน ผู้ที่เป็นกำลังเคยทำความดี พระองค์ก็พึงให้การบริหาร"
เมื่อพระนารทะได้แสดงทานกถา ศีลกถา ดังนี้แล้ว จึงดำริต่อไปว่า เราจะพรรณนาอัตภาพเปรียบด้วยรถถวายพระราชานี้ จึงแสดงธรรมโดยอุปมาดังต่อไปนี้
"ขอถวายพระพร ขอให้พระองค์จงสำคัญว่า ร่างกายพระองค์เป็นเช่นราชรถซึ่งมีใจเป็นนายสารถี กระปรี้กระเปร่า เพราะไม่มีถีนมิทธะ (ความง่วงเหงา) มีอหิงสา (ความไม่เบียดเบียน) เป็นเพลา มีการการบริจาคเป็นนหลังคา มีการสำรวมเท้าเป็นกง มีการสำรวมมือเป็นกะพอง มีการบริโภคอาหารพอประมาณเป็นน้ำมันชโลมทา มีการสำรวมวาจาเป็นอาการเงียบสนิท มีการกล่าาวคำสัตย์เป็นองค์รถอันสมบูรณ์ มีความศรัทธาและอโลภะเป็นเครื่องประดับ มีความเคารพนบไหว้เป็นทูบ มีความอ่อนโยนเป็นงอนรถ มีศีลเป็นเชือกขันชะเนาะ มีความไม่โกรธเป็นอาการไม่สะเทือน มีการบำเพ็ญกุศลเป็นเศวตฉัตร มีพาหุสัจจะเป็นทาน มีการตั้งจิตมั่นเป็นที่นั่ง มีการถ่อมตนเป็นเชือกแอก มีสติเป็นปฏัก มีความเพียรเป็นบังเหียน มีใจที่ฝึกฝนดีแล้วเป็นม้าสำหรับลากรถ ความโลภเป็นหนทาางคด ความสำรวมใจเป็นทางตรง ขอถวายพระพร เมื่อกายราชรถแล่นไปในรูปเสียงกลิ่นรส ต้องใช้ปัญญาเป็นห้ามล้อ ถ้าพระองค์ทรงประพฤติชอบ มีความเพียรมั่นอยู่ได้แล้วไซร้ รถนั้นจะอำนวยสรรพสมบัติไม่พาพระองค์ไปนรกแน่แท้"
ครั้นพระนารทะแสดงธรรมถวายพระเจ้าอังคติราชให้ทรงละมิจฉาทิฐิ ตั้งอยู่ในศีลฉะนี้แล้ว จึงถวายโอวาทว่า "ต่อแต่นี้ไป ขอพระองค์จงละบาปมิตร คบแต่กัลยาณมิตร อย่าได้ทรงประมาทเลย"
ขณะที่มหาชนกำลังดูอยู่นั้น พระนารทะได้กลับไปเสียแล้ว
พระเจ้าอังคติราชทรงตั้งมั่นอยู่ในโอวาทของพระนารทะ ทรงละมิจฉาทิฐิ เริ่มทำบุญให้ทาน และทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม นำความสุขมาสู่ประชาชนและประเทศชาติของพระองค์อย่างเดิม
เรื่องนี้เก็บความจากนารทชาดก คติธรรมที่ได้จากเรื่องนี้ คือ
การเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม การคบมิตร
จบเรื่อง พระนารทะ
.................................
จาก....หนังสือทศชาติชาดก (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย.....แปลก สนธิรักษ์