วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๘ พระนารทะ (หน้า ๔)

พระนารทะ  "ถ้าอาตมภาพรู้ว่า พระองค์มีศีล จะทรงนำทรัพย์ไปทำประโยชน์  อาตมภาพจะให้ยืมสักห้าร้อย  แต่นี่พระองค์ไม่มีศีล จุติจากโลกนี้  แล้วก็ไม่แคล้วนรก ใครจะไปตามทวงทรัพย์พันหนึงในนรกนั้นได้  ผู้ใดไม่มีศีลธรรม ประพฤติชั่ว เกียจคร้านในโลกนี้ บัณฑิตทั้งหลายย่อมไมยอมให้กู้หนี้ยืมสิน  เพราะจะไม่ได้คืนจากคนนเช่นนั้น  ส่วนผู้ขยัน หมั่นทำกิจการงานมีศีลธรรม เขาก็ย่อมจะเอาทรัพย์มาเชื้อเชิญให้เอง เพราะมองเห็นว่า จะได้คืน"

พระเจ้าอังคติราชหมดปฏิภาณที่จะโต้ตอบ  แต่ยังไม่ทรงคลายมิจฉาทิฐิ  พระนารทะจึงกล่าวต่อไปว่า  "ถ้าพระองค์ยังไม่ทรงละมิจฉาทิฐิ ก็จักต้องเสด็จไปสู่นรกซึ่งเต็มไปด้วยทุกขเวทนา เมื่อพระองค์จากโลกนี้ไปแล้ว จะพบพระองค์เองว่า ถูกฝูงแร้งกาและสุนัขฉุดคร่ามากิน สรีระขาดเป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ มีเลือดไหลนอง ใครจะไปทวงทรัพย์ในนรกนั้นได้ ถ้าพระองค์ไม่ไปเกิดในที่นั่น ก็จะต้องไปเกิดในโล-
กันตนรก มืดมิดไม่มีพระอาทิตยพระจันทร์ส่องถึง หากลางคืนกลางวันมิได้ ใครจะไปทวงทรัพย์ในโลกันตนรกนั้นได้"

พระนารทะเห็นได้โอกาสที่พระเจ้าแผ่นดินจำนนต่อตนเช่นนั้น จึงได้พรรณนาวิบากกรรมในนรกต่าง ๆ อย่างน่าสยดสยองมากมายหลายอย่าง

พระเจ้าอังคติราชได้ทรงสดับเรื่องราวในนรกของพระฤษีนารทะอย่างนี้้ ก็ทรงสลดพระทัย รู้สึกพระองค์ว่าเดินทางผิดเสียแล้ว จึงตรัสว่า  "ข้าพเจ้าแทบล้มทั้งยืน เข้าใจผิดจึงไม่รู้จักบาป ข้าแต่พระฤษี ข้าพเจ้าได้ฟังท่านแล้วร้อนใจกลัวภัยในนรก ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า เป็นประหนึ่งน้ำแก้กระหายในเวลาร้อน เป็นเกาะที่อาศัยในห้วงมหาสมุทร เป็นแสงสว่างส่องมาในที่มืด ขอท่านจงสอนอรรถธรรมแก่ข้าพเจ้าผู้ซึ่งได้หลงกระทำผิดมาก่อน ขอจงบอกหนทางที่จะไม่ไปยังนรกนั้นเถิด"

พระนารทะจึงทูลเรื่องโบราณกราชให้ฟังเป็นตัวอย่างว่า

"โบราณกษัตริย์ทั้งหลาย ได้กระทำการบำรุงสมณพราหมณ์แล้วเสด็จไปสู่สวรรค์เทวโลก ขอให้พระองค์จงละเว้นอธรรม ประพฤติแต่ธรรมอย่างกษัตริย์เหล่านั้นเถิด พระองค์จงให้ราชบุรุษไปประกาศว่า ใครหิวใครกระหาย ใครปรารถนาสิ่งใด ใครไม่มีผ้านุ่งผ้าห่ม ใครต้องการร่ม รองเท้า ก็ขอให้ได้สิ่งนั้น ๆ ให้ประกาศทั้งเช้าเย็น คนเฒ่า หรือโคแก่ ม้าแก่ ก็อย่าได้ใช้อย่างแต่ก่อน ผู้ที่เป็นกำลังเคยทำความดี พระองค์ก็พึงให้การบริหาร"

เมื่อพระนารทะได้แสดงทานกถา ศีลกถา ดังนี้แล้ว จึงดำริต่อไปว่า เราจะพรรณนาอัตภาพเปรียบด้วยรถถวายพระราชานี้ จึงแสดงธรรมโดยอุปมาดังต่อไปนี้

"ขอถวายพระพร ขอให้พระองค์จงสำคัญว่า ร่างกายพระองค์เป็นเช่นราชรถซึ่งมีใจเป็นนายสารถี กระปรี้กระเปร่า เพราะไม่มีถีนมิทธะ (ความง่วงเหงา) มีอหิงสา (ความไม่เบียดเบียน) เป็นเพลา มีการการบริจาคเป็นนหลังคา มีการสำรวมเท้าเป็นกง มีการสำรวมมือเป็นกะพอง มีการบริโภคอาหารพอประมาณเป็นน้ำมันชโลมทา มีการสำรวมวาจาเป็นอาการเงียบสนิท มีการกล่าาวคำสัตย์เป็นองค์รถอันสมบูรณ์ มีความศรัทธาและอโลภะเป็นเครื่องประดับ มีความเคารพนบไหว้เป็นทูบ มีความอ่อนโยนเป็นงอนรถ มีศีลเป็นเชือกขันชะเนาะ มีความไม่โกรธเป็นอาการไม่สะเทือน มีการบำเพ็ญกุศลเป็นเศวตฉัตร มีพาหุสัจจะเป็นทาน มีการตั้งจิตมั่นเป็นที่นั่ง มีการถ่อมตนเป็นเชือกแอก มีสติเป็นปฏัก มีความเพียรเป็นบังเหียน มีใจที่ฝึกฝนดีแล้วเป็นม้าสำหรับลากรถ  ความโลภเป็นหนทาางคด ความสำรวมใจเป็นทางตรง ขอถวายพระพร เมื่อกายราชรถแล่นไปในรูปเสียงกลิ่นรส ต้องใช้ปัญญาเป็นห้ามล้อ ถ้าพระองค์ทรงประพฤติชอบ มีความเพียรมั่นอยู่ได้แล้วไซร้ รถนั้นจะอำนวยสรรพสมบัติไม่พาพระองค์ไปนรกแน่แท้"

ครั้นพระนารทะแสดงธรรมถวายพระเจ้าอังคติราชให้ทรงละมิจฉาทิฐิ ตั้งอยู่ในศีลฉะนี้แล้ว จึงถวายโอวาทว่า  "ต่อแต่นี้ไป ขอพระองค์จงละบาปมิตร คบแต่กัลยาณมิตร อย่าได้ทรงประมาทเลย"

ขณะที่มหาชนกำลังดูอยู่นั้น  พระนารทะได้กลับไปเสียแล้ว

พระเจ้าอังคติราชทรงตั้งมั่นอยู่ในโอวาทของพระนารทะ ทรงละมิจฉาทิฐิ เริ่มทำบุญให้ทาน และทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม นำความสุขมาสู่ประชาชนและประเทศชาติของพระองค์อย่างเดิม

เรื่องนี้เก็บความจากนารทชาดก คติธรรมที่ได้จากเรื่องนี้ คือ
การเชื่อกรรม  เชื่อผลของกรรม  การคบมิตร


จบเรื่อง พระนารทะ

.................................


 จาก....หนังสือทศชาติชาดก (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย.....แปลก สนธิรักษ์








 

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๘ พระนารทะ (หน้า ๓)

""ข้าแต่พระชนกเจ้า บุคคลใดคบสัตบุรุษ มีศีล หรือสัตบุรษ ไร้ศีล  บุคคลนั้นย่อมเป็นไปตามอำนาจวิสัยของผู้นั้น  คบคนเช่นใดก็เป็นเช่นนั้น  ย่อมติดนิสัยของผู้ที่ตนคบหาสมาคมด้วย  เหมือนลูกศรอาบยาพิษย่อมเปื้อนแล่ง  ฉะนั้น  นักปราชญ์กลัวแปดเปื้อนจึงไม่คบมิตรชั่ว เพราะถือว่า  ใบไม้ย่อมมีกลิ่นเหม็นเพราะเอาไปห่อปลาเน่า  แต่ใบไม้จะมีกลิ่นหอมถ้าได้เอาไปห่อหุ้มของหอม  การคบกับนักปราชญ์ก็จะทำให้คนนั้นเป็นนักปราชญ์ตามไปด้วย

"ในอดีต  หม่อมฉันเกิดเป็นชาย  เป็นบุตรนายช่างทอง  คบหาบาปมิตรคนหนึ่ง  จึงกระทำบาปไว้มาก  เที่ยวทำชู้กับภรรยาผู้อืน  ราวกะจะไม่ตาย  แต่บาปกรรมยังไม่ให้ผล  เหมือนไฟที่เถ้าปกปิดไว้  ต่อมาหม่อมฉันได้ไปเกิดนตระกูลเศรษฐี  ได้คบหากัลยาณมิตรผู้รักดีมีปัญญา  เขาได้ชักนำให้หม่อมฉันทำแต่ประโยชน์  แต่ผลบุญที่ทำไว้ก็ยังไม่ให้ผล  เหมือนขุมทรัพย์ที่ฝังไว้  พอจุติจากชาติที่เป็นบุตรเศรษฐีก็ให้ผล  ต้องตกอยู่ใน  `โรรุวนรก` ช้านาน  นึกขึ้นมาแล้วไม่สุขใจเลย  พ้นจากนรกนั้นก็มาเกิดเป็นลา  ถูกเขาตอนเพราะเศษกรรมยังเหลืออยู่อีก  ถูกเขาขี่หลังบ้าง  ใช้เทียมรถบ้าง  นั่นเป็นผลกรรมที่เป็นชู้ภรรยาผู้อื่น  จากชาติที่เป็นลาก็มาเกิดเป็นลิงในป่า  ถูกลิงนายฝูงขบลูกอัณฑะ  จะร้องเท่าไรก้ไม่ปล่อย  ได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส  นั่นก็เป้นผลของการที่เป็นชู้ภรรยาผู้อื่น  จากชาติที่เป็นลิงก็มาเกิดเป็นโค  ถูกเขาตอนเอาไว้ใช้งานอยู่ช้านาน  จากชาติโคก็มาเกิดเป็นกะเทยในตระกูลมั่งคั่ง  กว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์นี้ยากจริง ๆ  นั่นก็เป็นผลของการเป็นชู้ภรรยาผู้อื่น  พอพ้นจากชาติที่เป็นกะเทยไปได้  ผลบุญที่ทำไว้เมื่อเป็นบุตรเศรษฐีมีเพื่อนดีนั้นก็เริ่มส่งผล  จึงได้ไปเกิดเป็นเทพอัปสรมีรูปโฉมงดงามอยู่ในชั้นดาวดึงส์  ตามที่ได้กราบทูลมานี้  เป็นอันว่ากรรมที่เราทำ  จะเป็นบุญหรือบาปก็ตาม  ย่อมจะติดตามเราไปทุก ๆ  ชาติไม่มีหยุด   ทำลงไปแล้วจะต้องได้รับผลตามลำดับก่อนหลังทุกประการ

"ชายใดปรารถนาจะเป็นบุรุษทุกชาติไป  ก็พึงเว้นภรรยาผู้อื่นเสีย  ให้เหมือนกับเท้าที่ล้างสะอาดแล้วเว้นแตะต้องเปือกตม  ฉะนั้น  หญิงใดหวังจะเป็นบุรุษทุก ๆ  ชาติ  ก็พึงยำเกรงสามี  ให้เหมือนกับว่าบาทบริจาริกาของพระอินทร์  ฉะนั้น  ผู้ใดปรารถนาทรัพย์  อายุ  ยศ  สุข  ก็พึงเว้นบาปทั้งหลายเสีย  ประพฤติแต่สุจริตธรรม  ผู้ที่มียศ  ทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ในโลกนี้  ล้วนแต่เป็นผู้เคยได้สั่งสมความดีไว้ในปางก่อนแล้วทั้งนั้น  สัตว์ทุกเหล่ามีกรรมเป็นของตน เป็นไปตามอำนาจกรรมที่ตัวเองทำขึ้น

"ข้าแต่พระชนก  พระองค์อย่าทรงถือถ้อยคำของคนเปลือยกายผู้มิจฉาทิฐิเลย  โลกนี้มี  โลกหน้าก็มี  สมณพราหมณ์มี  ผลของความดีความชั่วมี  ขอพระองค์จงเชื่อคำของกัลยาณมิตรเช่นหม่อมฉันกล่าวนี้เถิด"

แม้พระนางรุจาราชกุมารีกราบทูลถึงอย่างนั้น  ตั้งแต่เช้าจนตลอดคืน  ก็ไม่สมารถจะปลดเปลื้องพระชนกจากมิจฉาทิฐิได้  ถึงกระนั้น  พระนางก็มิได้ละความพยายาม  ดำริหาช่องทางต่อไปอีกว่า  จะต้องหาอุบายอย่างใดอยางหนึ่ง  ทำความสำเร็ให้จงได้  จึงประคองอัญชลีขึ้นแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า  "ถ้าเทพยดาฟ้าดินมีอยู่  ก็ขอให้โปรดมาช่วยเปลื้องมิจฉาทิฐิของพระชนกด้วยเถิด  จะได้บังเกิดวามสวัสดีแกสากลโลก"

ครั้งน้้น  มีพราหมณเทพองค์หนึ่ง  ชื่อ  นารทะ  เป็นผู้้งมั่นอยู่ในนเมตตา กรุณา  คอยหาโอกาสที่จะให้ความอุปการะเกื้อกูลแก่ผู้อื่นอยู่เสมอ  ในวันนั้นเห็นว่า  พระนางรุจาราชกุมารีกำลังพยายามทำความดีอันยิ่งใหญ่  ควรจะช่วยเหลือให้สำเร็จลุล่วงไป  คนอื่นไม่มีใครสามารถที่จะปลดเปลื้องมิจฉาทิฐิของพระเจ้าอังคติราชได้  จึงแปลงเพศเป็นบรรพชิตเอาภาชนะทองใส่สาแหรกข้างหนึ่ง  คนโทน้ำแก้วประพาฬใส่อีกข้างหนึ่ง  ใส่คานทองงามงอนวางเหนือบ่า  เหาะมาโดยเร็ว  ตรงเข้าสู่จันทรปราสาทอันเป็นที่ประทับของพระเจ้าอังคติราช  แล้วยืนลอยอยู่  ณ  เบื้องพระพักตร์ของพระราชา

พระนางรุจาราชกุมารีเห็นพระนารทะมาดังนั้น  จึงก้มลงนมัสการ  ส่วนพระเจ้าอังคติราชพอทอดพระเนตรเห็น  ก็ทรงตะลึง  ไม่อาจประทับอยู่บนราชอาสน์ได้  จึงเสด็จลงมาประทับยืนบนพื้นแล้วตรัสถามว่า  "ท่านมีวรรณงาม  ส่องสว่างจ้าราวกะพระจันทร์ในวันเพ็ญ  ท่านมาจากไหน ?"

"อาตมาภาพมาจากเทวโลกเดี๋วนี้  มีนามว่า  นารทะ"  นารทะตอบ

"การที่ท่านยืนอยู่บนอากาศได้เช่นนั้น  น่าอัศจรรย์  ท่านนารทะ  ขอถามท่านสักหน่อยเถอะ  เหตุใดท่านจึงมีฤทธิ์เช่นนั้น ?"  พระราชาตรัสถาม

"เพราะอาตมาภาพได้บำเพ็ญคุณธรรม ๔  ประการไว้ในชาติก่อน  คือ  สัจจะ  ธรรมะ  ทมะและจาคะ  จึงมีฤทธิ์เดชไปไหนได้ตามปรารถนารวดเร็วทันใจ"  นารทะตอบ

"ผลบุญมีหรือท่าน  บุญฤทธิ์ที่ท่านบอกน่าอัศจรรย์  ถ้าเป็นจริงอย่างท่านว่า  ข้าพเจ้าอยากจะขอถามบ้าง  โปรดช่วยชี้แจงให้เข้าใจด้วยเถิด"

พระนารทะ  "ขอถวายพระพร  พระองค์ทรงสงสัยข้อใดก็จงตรัสมาเถิด"

พระราชา  "ข้าแต่ท่านนารทะ  เขาพูดกันว่า  มีเทวดา  มีบิดามารดา  มีปรโลก  มีจริงหรือ ?"

พระนารทะ  "ที่เขาว่านั้น  มีทั้งนั้น แต่นรชนผู้หลงงมงายหารู้ไม่"

พระราชา  "ข้าแต่ท่านนารทะ  ถ้าท่านเชื่อว่า  ปรโลกมีจริง  ผู้ที่ตายไปแล้ว  ก็มีที่อยู่นะซิ  ถ้ากระน้้น  ข้าพเจ้าขอยืมทรัพย์ท่านไว้ใช้ในโลกนี้สักห้าร้อยเถิด  ถึงโลกหน้าข้าพเจ้าจะใช้ให้พันหนึ่ง"


.................................................


(ยังมีต่ออีก)













                                                                                                                                

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๘ พระนารทะ (หน้า ๒)

"รูปกายอันประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔  นี้  เมื่อแตกทำลายลงก็แยกจากกันไป  ความสุขทุกข์ก็ลอยไปตามลม  ใครฆ่าใคร  ทำร้ายใคร  เบียดเบียนใครไม่เป็นบาป  ดาบที่ฟันเข้าไปในเนื้อย่อมเป็นไปตามเรื่อง  ไม่จัดว่าใครทำร้าย

อลาตเสนาบดีได้ฟังดังนั้น  จึงกล่าวเสริมขึ้นว่า  "คำที่ท่านอาจารย์วิสัชนานั้นป็นความจริงเหลือเกิน"

คุณาชีวกได้อธิบายตามความเห็นของตนต่อไปว่า  "สัตว์ทุกจำพวกเมื่อเวียนว่ายตายเกิดไปในวัฏสงสารถึง ๘๔ กัป  ก็บริสุทธิ์ไปเอง  เมื่อยังไม่ถึงกำหนดนั้น  แม้จะสำรวมระวัง  แม้จะประพฤติดีเท่าดี  ก็บริสุทธิ์ไม่ได้  แต่ถ้าถึงกำหนดนั้นแล้ว  แม้จะได้กระทำบาปไว้มากมาย  ก็ไม่เกินกำหนดนั้นไปได้  ถึง ๘๔ กัป  เป็นต้องบริสุทธิ์ขึ้นเองตามกาล  ไม่เลยเขตนั้นไปได้เป็นแน่แท้ราวกับกระแสคลื่นย่อมไม่ซัดล่วงเลยฝั่งไปได้ฉันนั้น"   

พระเจ้าอังคติราชได้สดับดังนั้น  จึงตรัสว่า  "ท่านอาจารย์  ข้าพเจ้าได้ประมาทมานานทีเดียว  เพราะหลงเชื่อว่า  ทำความดีแล้วจะได้ไปสู่สุคติ  จึงงดเว้นจากความเพลิดเพลินในกามคุณ  ขวนขวายแต่ในทางธรรมพร่ำสอนชี้แจงความดีความชั่วแก่ประชาราษฎร  บัดนี้ เราได้ท่านอาจารย์ชี้แจงให้เห็นความจริงแล้ว  ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า   บุญไม่มี  คนจะบริสุทธิ์ได้เองเมื่อถึงกำหนดเวลา  แต่นี้ไปพวกข้าพเจ้าจะเพลิดเพลินในกามคุณ  แม้แต่การฟังธรรมคำสอนในสำนักของท่านก็เสียเวลาเปล่าไม่เกิดผลอันใด  ขอท่านจงอยู่สบายเถิด  ข้าพเจ้าจะลาไปรีบหาความเพลิดเพลินในกามคุณละ"

เมื่อพระเจ้าอังคติราชาเสด็จกลับถึงราชนิเวศน์แล้ว  รุ่งขึ้นจึงเรียกประชุมเหล่าอำมาตย์ทั้งหลาย  เมื่อเหล่าอำมาตย์ประชุมพร้อมกันแล้ว  จึงมีพระดำรัสว่า  "พวกท่านจงบำเรอกามคุณกันเถิด  นับแต่นี้ไปเราจะเสวยความสุขในกามคุณเท่านั้น  อย่ารายงานกิจการอะไรให้เราทราบเลย  จงวินิจฉัยกันไปเองเถิด"

ขณะนั้น  เกิดลือกันขึ้นทั่วพระนครว่า  พระราชาเป็นมิจฉาทิฐิ  เชื่อตามคำของคุณาชีวก  บรรดาพระพี่เลี้ยงนางนมจึงทูลพระนางรุจาราชกุมารีว่า  "ข้าแต่พระแม่เจ้า  พระชนกของพระองค์ทรงเป็นมิจฉาทิฐิไปเสียแล้ว  เพราะเชื่อถ้อยคำของคุณาชีวก  รับสั่งให้รื้อโรงทานที่ประตูเมืองทั้ง ๔  ข่มขืนหญิงและเด็กที่มีผู้ปกครองหวงห้าม  ไม่ทรงวิจารณ์ราชกรณียกิจเลย  มัวเมาอยู่แต่ในกามคุณเท่านั้น"

พระนางรุจาราชกุมารีได้สดับคำพระพี่เลี้ยงนางนมเช่นนี้  ก็คอยหาโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดา  เพื่อกราบทูลให้ทรงเปลี่ยนพระทัย  เมื่อได้โอกาาสจึงเข้าเฝ้าพระบิดาพร้อมด้วยบริวาร

"เจ้ายังคงมีความสุขสบายดีอยู่หรือ  มีอะไรบกพร่องในสิ่งที่เขาปฏิบัติแก่เจ้าบ้างหรือไม่ ?"  พระราชาตรัสถาม

"ข้าแต่พระบิดา  หม่อมฉันได้รับความสุขสมบูรณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง  ที่หม่อมฉันมาเฝ้าครั้งนี้ก็เพื่อกราบทูลขอพระราชทานทรัพย์สัก  ๑,๐๐๐  เพื่อเอาไปให้ทานอย่างที่เคยทำมา  เพราะพรุ่งนี้เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ  เพคะ"  พระราชกุมารีกราบทูล

ทรัพย์ของพ่อที่มีอยู่  ลูกนำไปใช้จ่ายเสียในทางที่ไม่เป็นประโยชน์เป็นจำนวนมากโดยไม่ได้รับผลตอบแทนเลย  นี่เจ้ายังคงอดอาหารในวันอุโบสถอยู่อีกหรือ  ไม่ได้บุญดอกลูก  ปรโลกไม่มีดอกลูก  ลำบากเปล่า ๆ  ไม่มีประโยชน์อะไร"  พระราชาตรัส

 "ข้าแต่พระบิดา  บัดนี้  หม่อมฉันได้เห็นประจักษ์แล้วว่า  ผู้ใดคบคนพาล  ผู้นั้นก็เป็นพาลไปด้วย  ผู้หลงอาศัยคนหลงจึงหลงยิ่งขึ้น  ข้าแต่พระชนก  พระองค์ก็ชื่อว่า  ทรงมีพระปรีชาสามารถ  ฉลาดรู้อรรถธรรม  ไฉนหาผลมิได้  ชนส่วนมากไม่รู้อะไร  พอได้ฟังคำของคุณาชีวกเข้าก็หลงเชื่องมงาย  เมื่อเบื้องต้นยึดผิดเสียแล้ว  ก็ยากที่จะปลดเปลื้องจากหายนะไปได้  เหมือนปลาติดเบ็ดยากที่จะดิ้นให้หลุดได้  ฉะนั้น"  พระราชกุมารีกราบทูล

ขณะที่พระชนกกำลังทรงดุษณีอยู่นั้น  พระนางรุจาราชกุมารีจึงกราบทูลต่อไปว่า  "ข้าแต่พระชนกเจ้า  หม่อมฉันอยากจะยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบถวาย  บัณฑิตบางคนในโลกนี้รู้เรื่องด้วยอุปมา  เรือพ่อค้าบรรทุกสินค้าหนักเกินประมาณ  ย่อมจะไปจมลงในมหาสมุทร  ฉันใด  ชนผู้สั่งสมบาปไว้แม้จะทีละน้อย ๆ  พอเพียงเข้า  ก็จะจมลงในนรก  ฉันนั้นเหมือนกัน"



........................

(ยังมีต่ออีก)
















วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๘ พระนารทะ (หน้า ๑)

พระนารทะ
มีพระราชาองค์หนึ่งพระนามว่า  "อังคติราช"  ครองราชสมบัติในมิถิลานคร  พระองค์ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม  มีราชธิดาองค์หนึ่งพระนามว่า  "รุจาราชกุมารี"  มีพระรูปโฉมชวนชมยิ่งนัก  ส่วนพระมเหสีอื่น ๆ  ไม่มีโอรสธิดาเลย  พระธิดาจึงเป็นที่โปรดปรานของพระชนกอย่างที่สุด  ถึงกับพระราชทานเสื้อผ้าพัสตราภรณ์อย่างดีวิเศษให้พระธิดาทุกวัน  พระเจ้าอังคติราชนั้นมีอำมาตย์ผู้ใหญ่อยู่  ๓  นาย  คือ 
๑. วิชัยอำมาตย์  ๒. สุนามอำมาตย์  ๓. อลาตอำมาตย์

คืนวันหนึ่งกลางเดือน ๑๒   เป็นเทศกาลมหรสพ  ดอกโกมุทบานสะพรั่งมหาชนพากันตกแต่งพระนครและภายในพระราชฐานอย่างตระการตาปานประหนึ่งว่าเทวนคร  พระเจ้าอังคติราชเสด็จประทับสำราญพระราชอิริยาบถในปราสาทใหญ่ริมสีหบัญชร  มีหมู่อำมาตย์แวดล้อมพร้อมเพรียง ทอดพระเนตรดูดวงจันทร์ทรงกลดลอยเด่นอยู่  จึงมีพระราชดำรัสขึ้นว่า  "ยามราตรีบริสุทธิ์เช่นนี้  น่ารื่นรมย์จริง  เราควรจะเพลิดเพลินกันด้วยเรื่องอะไรดี ?"

อำมาตย์ทั้ง ๓  ได้กราบทูลตามอัธยาศัยของตน

อลาตอำมาตย์กราบทูลว่า  "ขอเดชะ"  ควรจะเตรียมจัดจตุรงคเสนาให้ครบครันทุกหมู่เหล่าแล้วยกขบวนพยุหเสนาออกรบ  รวบรวมประเทสน้อยใหญ่ทั่วผืนแผ่นดินนี้ให้เข้ามาอยู่ในอำนาจของพระองค์เสียเถิด  พระเจ้าข้า"

สุนามอำมาตย์กราบทูลว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า  เหล่าศัตรูของพระองค์ก็ตกมาอยู่ในอำนาจของพระองค์จนหมดสิ้นแล้ว  ต่างก็วางศัสตรายอมสวามิภักดิ์ต่อพระองค์ทั้งนั้น  วันนี้จะมาเพลิดเพลินด้วยการรบหาควรไม่  ทางที่ดีควรจัดการเลี้ยงดูและดื่มอวยชัยให้สำราญ  หาความเพลิดเพลินในการฟ้อนรำ  ขับร้อง  ประโคมดนตรี  อันเป็นยอดของความสุขทั้งปวงเถิด  พระเจ้าข้า"

วิชัยอำมาตย์กราบทูลว่า  "ข้าแต่มหาราชเจ้า  เรื่องการฟ้อนรำ  ขับร้อง  ประโคมดนตรี  ก็มีบำเรอพระองค์อยู่เป็นนิตย์แล้ว  ต้องพระประสงค์อย่างไรก้ได้ทุกเมื่อ  ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าว่า  ยามราตรีอันบริสุทธิ์ผุดผ่องเช่นนี้  ควรพากันเข้าไปหาสมณพราหมณ์ผู้เป็นพหูสูตรรู้อรรถธรรม  นิมนต์ให้ท่านขจัดขัดเกลาความสงสัยของพวกเราดีกว่า  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าอังคติราชทรงพอพระทัยในคำกราบทูลของวิชัยอำมาตย  จึงตรัสว่า  "วิชัยอำมาตย์พูดถูกใจเราเหลือเกิน  ขอให้ทำตามข้อเสนอของวิชัยอำมาตย์นี้เถิด  แต่เราจะเข้าไปหาใครเล่าที่เป็นพหูสูต  ซึ่งสามารถจะให้ความเพลิดเพลินในอรรถธรรมแก่เราได้"

อลาตเสนาบดีรีบกราบทูลว่า  "ขอเดชะ"  มีอเจลกคนหนึ่งอยู่ในมิคทายวัน  ชื่อ  คุณาชีวก  เธอเป็นพหูสูต  พูดจาน่าฟั  ผู้นี้แหละจะช่วยกำจัดความสงสัย  ให้ปัญญาความรู้แก่เราได้อย่างเพลิดเพลินทีเดียว  พระเจ้าข้า"

"ถ้าอย่างนั้น  เราจะไปมิคทายวัน  จงนำยานเทียมม้ามาที่นี่"  พระราชาตรัส

พระเจ้าอังคติราชพร้อมด้วยข้าราชบริพาร  เสด็จมาถึงมิคทายวันซึ่งเป็นสำนักของคุณาชีวกแล้ว  เสด็จพระราชดำเนินเข้าไปหาคุณาชีวก  ขณะนั้นมีพราหมณ์คหบดีประชุมกันอยู่ก่อนแล้ว  แต่พระองค์ก็ขอให้ทุกคนอยู่ร่วมประชุมกันต่อไป

พระเจ้าอังคติราชก็เริ่มตรัสถามปัญหาทางธรรมบางประการที่พระองค์ยังสงสัยอยู่  เช่น ปัญหาว่า  คนเราจะพึงประพฤติอย่างไรในบุคคลต่อไปนี้  บิดามารดา  อาจารย์และบุตรภรรยา  เพราะเหตุไรชนบางพวกจึงไม่ตั้งอยู่ในธรรม ฯลฯ  ปัญหาอย่างนี้มิใช่ของง่ายสำหรับคนทั่วไป  และยิ่งเป็นคนมิจฉาทิฐิอย่างคุณาชีวกด้วย  ก็เป็นปัญหาหนักที่ไม่อาจชี้แจงได้  ดังนั้นคุณาชีวกจึงแสร้งทูลเตือนว่า  "ข้าแต่มหาราชเจ้า  จะพูดถึงปัญหาอย่างนี้ไปทำไม ?  ไม่มีประโยชน์  ขอพระองค์ได้โปรดสดับทางที่แท้จริงของอาตมภาพเถิด  บุญบาปไม่มี  ปรโลกไม่มี  ไม่มีใครที่จากโลกนั้นมาโลกนี  ปู่ย่าตายาย  มารดาาบิดาไม่มี ครูบาอาจารย์ก็ไม่มี  สัตว์ทั้งหลายเสมอกันหมด  ไม่มีประเสริฐกว่ากัน  คนเกิดมาทุกวันนี้เกิดตามกันมาเหมือนเรือน้อยห้อยท้ายเรือใหญ่  จะได้ดีหรือชั่วก็ได้เอง  ทานหรือผลของทานไม่มี  คนโง่บัญญัติการให้ทานไว้เพื่อให้คนโง่ทำทาน  แต่บัณฑิตคอยรับทาน"


..............................

(ยังมีต่ออีก)
































 

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๗ พระจันทกุมาร (หน้า ๔)


ลำดับนั้น  ท้าวสักกเทวราชได้สดับเสียงคร่ำครวญของพระนางจันทาเทวีและด้วยอำนาจแห่งสัจกริยาของพระนาง  จึงทรงฉวยค้อนเหล็กมีไฟโพลงเสด็จตรงมายังพระราชา  แล้วตรัสว่า  "ดูก่อนพระราชาผู้ลามก  จงรู้ไว้  อย่าให้เราถึงกับต้องใช้ค้อนเหล็กนี้ประหารเศียรของท่านเลย  ท่านอย่าได้ฆ่าพระราชบุตรองค์ใหญ่ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร  ท่านเคยเห็นใครที่ไหนบ้างที่ฆ่าบุตร  ภรรยา  เศรษฐีและคหบดีผู้ไม่มีความผิดเพื่อจะได้ไปสวรรค์  จงปลดปล่อยคนที่ไม่เคยประทุษร้ายใคร  คนที่ปราศจากความผิด  คนที่มีประโยชน์แก่ส่วนรวม  ในบัดนี้"

พระราชาและกัณฑหาลพราหมณ์ตกใจสุดขีด  จึงสั่งให้ปลดปล่อยเครื่องพันธนาการจองจำจากคนทั้งหมดที่จับมาเสียสิ้น  เมื่่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้  คนที่หลุดจากเครื่องพันธนาการ  พร้อมกับประชาาชนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งมวลก็ฉวยก้อนดิน  ท่อนไม้  ช่วยกันประหารกัณฑหาลพราหมณ์ย่อยยับดับชีพลงไป  ณ  ที่นั้นนั่นเอง  เมื่อฆ่ากัณฑหาลพราาหมณ์แล้ว  ก็หันไปเพื่อจะฆ่าพระราชาอีก  ทันใดนั้น 
พระจันทกุมารจึงทรงเข้าสวมกอดพระราชบิดาไว้  เพื่อมิให้ประชาชนทำร้ายได้  ประชาชนจึงชะงักและไม่กล้าขัดใจพระจันทกุมารอันเป็นที่รักของเขา  แต่ได้ประกาศด้วยความโกรธแค้นว่า  "พวกเราจะไว้ชีวิตแก่พระราชาชั่วร้ายนี้เท่านั้น  แต่จะไม่ยอมให้อยู่ในเศวตฉัตร  เราจะต้องถอดยศให้ลงมาเป็นคนจันฑาล  แล้วเนรเทศเสียจากพระนคร"  ว่าแล้วก็ช่วยกันปลดเปลื้องเครืองยศสำหรับพระราชาออก  ให้แต่งตัวแบบนจัณฑาล  แล้วขับไล่ออกจาประตูพระนครไป

เมื่อกำจัดตัวกาลกรรณีทั้งสองไปแล้ว  มหาชนก็พร้อมใจกันกระทำพิธีอภิเษกพระจันทกุมารขึ้นเป็นพระราชา

พระจันทกุมารปกครองเมืองโดยความเป็นธรรม  และกำหนดวัตรปฏิบัติส่วนพระองค์เพื่อช่วยเหลือพระบิดาที่ต้องพเนจรอยู่นอกพระนคร  โดยหาโอกาสออกประพาสอุทยาน  และทรงปฏิบัติภารกิจนอกพระนคร  เมื่อพบพระบิดาทรงถามว่า  ต้องการอะไรบ้าง  เมื่อทรงทราบความประสงค์แล้วก็พระราชทานเงินมาจับจ่ายให้พระบิดาตามปรารถนาทุกประการ

พระโพธิสัตว์ทรงปกครองสิริราชสมบัติด้วยความเป็นธรรม  จนถึงที่สุดแห่งพระชนมายุก็ได้ไปสู่เทวโลกด้วยประการฉะนี้แล

เรื่องนี้เก็บใจความจากจันทกุมารชาดก  คติธรรมที่ได้จากเรื่องนี้  คือ 

ความสัตย์  ความกตัญญูกตเวที  การชนะความชั่วของคนอื่นด้วยความดีของตน


.................................


คัดจาก....หนังสือทศชาติชาดก (พระเจ้าสิบชาติ)
         
โดย....แปลก  สนธิรักษ์

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๗ พระจันทกุมาร (หน้า ๓)


คราวนี้  พระจันทกุมารทรงเห็นว่า  พระราชบิดาเป็นผู้อ่อนปัญญาหาเหตุผลมิได้  จึงทรงชี้แจงเปรียบเทียบทูลถามว่า  "ข้าแต่พระสมมติเทพ  เหตุไรเมื่อข้าพระองค์เกิดใหม่ ๆ  ก็ได้ทรงให้พราหมณ์มากล่าวคำสวัสดิมงคลอวยพรให้ข้าพระองค์มีชีวิตเจริญวัยขึ้น  ครั้นมาบัดนี้กลับเปลี่ยนพระทัยจะให้ฆ่าหรือกำจัดเสีย  แต่บัดนี้เจริญวัยเป็นหนุ่มแล้ว  ทั้งมิได้คิดปองร้ายพระองค์ด้วย  พระองค์กลับจะฆ่าเสียให้ตาย  ขอพระองค์จงทรงระลึกดูเถิดเมื่อบ้านเมืองเกิดศึกกำเริบร้อนขึ้น  ให้ข้าพระองค์ทรงเครื่องยุทธ  นั่งบนคอช้าง  หลังม้า  ออกชิงชัย  ก็ยังมีประโยชน์แก่บ้านเมือง  แต่กลับจะฆ่าให้ตายเสียโดยมิใช่กาลใช่ที่ข้าแต่พระบิดา  ธรรมดาแม่นกที่ทำรังให้ลูกอยู่อาศัย  ย่อมจะอยู่ในรังนั้นด้วยความรักลูก  แต่พระองค์กลับจะฆ่าลูกเสีย  แล้วจะอยู่กับคนอื่นที่มิใช่ลูก  ถ้าพระองค์ฆ่าลูก ๆ  เสียแล้ว  เขาก็คงจะฆ่าพระองค์ทีละน้อย ๆ ด้วย  ข้าแต่พระบิดาของลูก  พระราชาได้ทรงประทานยศศักดิ์ทรัพย์สมบัติให้แก่พราหมณ์ใดแล้ว  พรหมณ์นั้นยังทำประทุษร้ายแต่ราชตระกูลของพระองค์ จะถือว่า  พราหมณ์ทำประโยชน์ตอบแทนคุณได้อย่างไรกัน  พราหมณ์นั้นคือคนเนรคุณอย่างไม่ต้องสงสัย  ข้าแต่พระบิดาผู้ประเสริฐ  ขอจงได้ทรงพระกรุณาประทานชีวิตแก่ข้าพระบาททั้งหลายด้วยเถิด  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าเอกราชาทรงสลดพระทัย  และทรงวิโยคยิ่งในคำรำพันของพระกุมาร  จึงตรัสสั่งให้ปลดปล่อยทุกชีวิตทั้งสิ้นไป  แต่เมื่อพราหมณ์นั้นคัดค้านและกล่าวถ้อยคำภาษิตหลอกลวงให้ฟัง ก็ทรงหลงเชื่ออีก  จึงตรัสสั่งให้จับมาอีกเป็นคำรบสอง

พระจันทกุมารเห็นพระราชบิดายังอ่อนปัญญาหาที่เปรียบมิได้  จึงรู้สึกจำเป็นที่จะต้องชี้แจงให้ทรงเห็นในถ้อยคำหลอกลวงของพราหมณ์  เพื่อช่วยพระราชบิดาให้เกิดปัญญาเห็นจริงยิ่งขึ้นไปอีก  จึงกราาบทูลว่า  "ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงคุณอันประเสริฐ  ถ้าคนเราจะไปสู่สวรรค์ได้ด้วยการฆ่าบุตรภริยาบูชายัญ  จริงดังคำของพราหมณ์แล้ว  ก็ให้พราหมณ์ทำพิธีบูชายัญด้วยบุตรภรรยาของพราหมณ์ก่อนเถิด  แล้วพระองค์จึงทรงทำต่อข้าพระบาททั้งหลายภาายหลัง  เมื่อกัณฑหาลรู้อย่างนี้  ไฉนจึงไม่ฆ่าบุตรของตน  ไฉนจึงไม่ฆ่าญาติของตนและตัวของตนเองเล่า  เพราะคติของพราหมณ์ก็มีอยู่ว่า  ชนเหล่าใดบูชายัญเองก็ดี  ให้ผู้อิ่นบูชาก็ดี  หรือแม้ยินดีนการบูชายัญนั้นก็ดี  ชนเหล่านั้นย่อมไปสู่นิรยาบายทั้ยสิ้น"

เมื่อกราบทูลดังนี้แล้ว  พระบิดาก็ยังไม่ทรงเชื่อ  พระจันทกุมารจึงได้ร้องประกาศแก่บริษัททั้งหลายว่า  "ท่านพ่อบ้านแม่เรือนทั้งหลาย  ไฉนไม่ช่วยกันทัดทานพระราชาบ้าง  เราหวังประโยชนร่วมกัน  เพื่อประโยชน์ของชนทั้งปวง  ไฉนจึงไม่ช่วยเราทูลข้อนี้บ้าง"  แม้กระนั้นก็หาไดมีใครกล่าวคำอันใดไม่  พระจันทกุมารจึงให้พวกภริยาของพระองค์ช่วยกันกราบทูลด้วย  แต่ไม่สามารถจะให้พระราชาทรงรู้สึกด้วยแม้เพียงการทอดพระเนตรมา  เมื่อไม่ได้ผล  พระวสุลกุมารผู้เป็นบุตรของพระจันทกุมารจึงเข้าช่วยกราบทูลวิงวอนด้วยการคร่ำครวญต่าง ๆ นานา  พระราชาทรงสดับเสียงคร่ำครวญของพระราชนัดดาก็อ่อนพระทัย  ทรงสวมกอดแล้วก็ตรัสสั่งให้ปล่อยคนทั้งหมดที่จับมาอีกครั้งหนึ่ง

ฝ่ายกัณฑหาลก็ได้พยายามคัดค้านเหมือนครั้งก่อน  เมื่อพระราชากลับสั่งให้จับกุมพระราชบุตรมาอีกเป็นคำรบสาม  ก็ได้คิดว่า  "พระราชาองค์นี้ใจอ่อน  ประเดี๋ยวก็ให้ปล่อย  ประเดี๋ยวก็ให้จับ และประเดี๋ยวก็คงจะให้ปล่อยอีกแน่ ๆ  อย่าเลยเราจะพาพระราชาไปหลุมยัญเสียเลยทีเดียว"  จึงกล่าวคำทำนองทูลเชิญว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ  หลุมยัญได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้วทุกประการ  ขอพระองค์จงเสด็จไปเถิด  เมื่อบูชาเสร็จแล้ว  จักได้สู่สวรรค์  จักได้บันเทิงพระหฤทัย  พระเจ้าข้า"

ในเวลาที่พระจันทกุมารถูกนำไปหลุมเป็นที่บูชา  เหล่าหญิงนางห้ามทั้งหลายก็พากันคร่ำครวญ  ติดตามไปพร้อมด้วยหญิงอื่น ๆ  อีกเป็นจำนวนมาก  ประชาชนในพระนครก็ระส่ำระสายส่งเสียงเอ็ดอึงติดตามพระจันทกุมารไป  พระจันทกุมารเป็นคนทำประโยชน์แก่ประชาชน  จึงเป็นที่รักของประชาชนอย่างยิ่ง  เมื่อมามีอันเป็นไปโดยไม่สมควรแก่เหตุผลเช่นนี้  จึงทำให้พระนครทั้งหมดสั่นสะเทือนด้วยเสียงร่ำร้องคร่ำครวญต่าง ๆ  นานา  ราชตระกูลทั้งหมดเต็มไปด้วยความวิปโยคอย่างสุดแสน  และได้พากันกราบทูลวิงวอนต่อพระเจ้าแผ่นดินเป็นครั้งสุดท้าย  แต่แม้จะร่ำรำพันอย่างไรก็ไม่สามารถจะให้พระเจ้าแผ่นดินทรงพระกรุณาได้ 

ในที่สุด  ขณะที่เหตุการณ์จะถึงวาระสุดท้ายอยู่แล้ว  นางจันทาเทวีผู้อัครชายาของพระจันทกุมารจึงเข้าทูลวิงวอนขออย่าได้ให้ฆ่าพระราชบุตรเสียเลย  ด้วยการร่ำรำพันต่าง ๆ  นานา  เมื่อยังไม่สามารถให้พระเจ้าแผ่นดินเปลี่ยนพระราชหฤทัยได้  และขณะที่พระจันทกุมารถูกนำลงไปในหลุยัญซึ่งเป็นเวลาที่กัณฑหาลพราาหมณ์นำถาดทองวางพระขรรค์เข้ามาและจับพระขรรค์ขึ้น  ด้วยตั้งใจจะตัดพระศอพระ
จันทกุมารนั้น  พระนางจันทาเทวีก็รำพันขึ้นว่า  "ขณะนี้ที่พึงอื่นของเราไม่มีแล้ว  เราจะกระทำสัจกริยาเพื่อความสวัสดีของสามี"  ว่าแล้วนางก็ประคองอัญชลีดำเนินไปในระหว่างชุมชนพร้อมกับกล่าวว่า  "กัณฑหาลพราหมณ์ผู้มีปัญญาทราม  กระทำกรรมชั่ว  นี้เป็นความสัตย์  ด้วยเดชแห่คำสัตย์อนนี้  เทพยดาก็ดี  ยักษ์ก็ดี  สัตว์ที่เกิดแล้วหรือที่กำลังจะมาเกิดก็ดี  ขอจงได้ขวนขวายช่วยเหลือเราผู้ไร้ที่พึ่ง ผู้กำลังแสวงหาที่พึ่ง  ขอให้เราได้มีชีวิตอยู่กับสามีด้วยความสวัสดีด้วยเเถิด  เราขอวิงวอนพระเป็นเจ้าทั้งหลาย  จงให้พระสามีเป็นผู้ที่ศัตรูจะทำร้ายไม่ได้ ณ บัดนี้เถิด"


...............................

(ยังมีต่ออีก)

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๗ พระจันทกุมาร (หน้า ๒)


เมื่อพระเจ้าเอกราชากับกัณฑหาลพราหมณ์ปรึกษาตกลงจะประกอบวิสามัญทารุณกรรม  เพื่อประโยชน์ส่วนตัวด้วยความมืดเขลาเช่นนั้น  เสียงร่ำร้องด้วยความกลัวก็ระเบ็งเซ็งแซ่ทั่วพระราชวัง  ราชตระกูลทั้งสิ้นได้ปรากฏเหมือนป่าไม้รังที่ถูกพายุใหญ่หักล้มระเนระนาดลงแล้ว  ทำเอาพระเจ้าเอกราชาทรงอ้ำอึ้ง

"ข้าแต่พระเทวะ  พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะประกอบการบูชายัญอันพิเศษนี้เพื่อไปสวรรค์ดอกหรือ  พระเจ้าข้า ?"  กัณฑหาลทูลถาม  เมื่อเห็นพระเจ้าเอกราชอ้ำอึ้ง

"ท่านอาจารย์  ก็เมื่อเราบูชายัญแล้วเราจะได้ไปสู่เทวโลก  ไฉนจะไม่อาจสละลูกเมีย  ทรัพย์สมบัติเล็กน้อยเหล่านี้ได้เล่า"  พระราชาทรงตอบอย่างมั่นพระทัย

"ข้าแต่พระราชาผู้เป็นใหญ่  เกิดมาเป็นชายใจขลาด  อ่อนกำลังในความุ่งหมาย  ย่อมไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เลย  พระเจ้าข้า"  กัณฑหาลทูลต่อไป

พระราชามีพระดำรัสให้เรียกราชบุรุษมาสั่งว่า  "ท่านทั้งหลาย  เราจะฆ่าบุตรธิดาและภรรยาของราบูชายัญ  เพื่อไปสู่เทวโลก  เจ้าจงไปบอกทุกคนมาพร้อมกัน  ณ  ที่นี้โดยเร็ว"

ราชบุรุษเหล่านั้นตรงไปยังพระราชตำหนักของพระจันทกุมารก่อน  ทูลว่า  "ข้าแต่พระราชกุมาร  พระราชบิดาของพระองค์จะทรงฆ่าพระองค์เสียเพื่อจะเสด็จไปสู่เทวโลก  ได้ทรงใช้ให้มาจับกุมพระองค์ไป  พระเจ้าข้า"

พระจันทกุมาร  "พระเจ้าแผ่นดินได้รับคำเสี้ยมสอนจากใครหรือ ?"

ราชบุรุษ  "ได้รับคำเสี้ยมอนของกัณฑหาลพราหมณ์  พระเจ้าข้า"

พระขจันทกุมาร  "ให้มาจับเราคนเดียวหรือ  หรือว่าคนอื่นด้วย ?"

ราชบุรุษ  "ให้จับผู้อื่นด้วย   เพราะทรงพระประสงค์จะบูชายัญด้วยหมวด ๔  แห่งสัตว์ทุกชนิด  พระเจ้าข้า"

พระจันทกุมารทรงรำพึงว่า  "ความริษยายังโลกให้ฉิบหาย"  พราหมณ์โฉดผู้นี้จองเวรในตัวเราผู้เดียว  แต่หาเหตุทำลายคนอื่นด้วย  เมื่อไม่ได้ปล้นคนทั้งหลายในทางพิพากษาอรรถคดี  ก็จะฆ่าคนอีกเป็นจำนวนมาก  เพราะจิตจองเวรต่อเราผู้เดียว  เอาเถอะ  ความพ้นภัยของคนทั้งหมดนี้เป็นภาระของเราเอง"  รำพึงดังนี้แล้ว  จึงตรัสแก่ราชบุรุษว่า  "ถ้ากระนั้น  ก็จงปฏิบัติตามพระบัญชาของพระบิดาเราเถิด"

ราชบุรุษจึงจับพระจันทกุมารไปไว้ที่พระลานหลวง  พร้อมด้วยพระราชกุมารอื่น ๆ  อีก  ๓  พระองค์  แล้วก็ไปจับพระราชกุมารีมาอีก  ๔  พระองค์  พระมเหสี  ๔  คือ  พระนางวิชยา  พระนางเอราวดี  พระนางเกสินีและพระนางสุนันทา  ซึ่งล้วนแต่ทรงลักษณะงามวิไล  แล้วก็ตรงไปจับเศษฐีใหญ่  ๔  คือ
ปุณณมุข  ภัททิยะ  สิงคาลและวัฑฒะ

การจับกุมราชตระกูลนั้น  ไม่มีใครบังอาจห้ามปรามว่าขานประการใดได้  แต่การจับเศรษฐีใหญ่ ๆ  ทำให้วงศาคณาญาติของเขาซึ่งมีอยู่มากมายทั่วพระนครก่อการกำเริบขึ้น  เขาเหล่านั้นพากันเข้าแวดล้อมเศรษฐีไปจนถึงพระลานหลวง   และต่างก็ได้พยายามทูลวิงวอนขอชีวิตเศษรษฐีไว้  แต่พระเอกราชาก็ไม่ทรงยินยอม  กลับตรัสสั่งให้ไปจับสัตว์ชนิดต่าง ๆ  เช่น  ช้าง  ม้า  และโค  เป็นต้น  ซึ่งล้วนแต่เป็นของคู่บ้านคู่เมืองมาอย่างละ  ๔  แล้วก็ทรงปประกาศว่า  ขอให้สนุกสนานรื่นเริงกันให้เต็มที่ในคืนสุดท้ายนี้  พิธีบูชายัญจะเริ่มในวันพรุ่งนี้เช้าแน่นอน

ฝ่ายพระราชมารดาและพระราชบิดาของพระเจ้าเอกราชา ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ทั้งสองพระองค์  เมื่อได้ทรงทราบข่าวพิธีกรรมอุบาทว์เช่นนั้น  จึงทรงกรรแสงพลางรีบเสด็จพลางตรงมาหาพระเจ้าเอกราชา  แล้วตักเตือนวา  "ลูกเอ๋ย  อย่าหลงเชื่อคำเสี้ยมสอนของคนอันธพาลเช่นนี้เลย  การฆ่าบุตรภรรยาเพื่อบูชายํญจะเป็นทางสวรรค์อย่างไรกัน  การเบียดเบียนผู้อื่นนั้นเป็นทางไปนรกชัด ๆ  การให้ทานและการไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายต่างหากเป็นทางไปสวรรค์"

พระจันทกุมารรำพึงว่า  เพราะเราผู้เดียวแท้ ๆ  ที่ไปทำความดีขัดกับผลประโยชน์ของคนอันธพาลผู้มีอำนาจ  ความทุกข์สาหัสจึงเกิดขึ้นแก่คนจำนวนมาก  เราจะพยายามทูลวิงวอนพระบิดาให้ปลดปล่อยเสีย  แล้วจึงทูลว่า  "ข้าแต่พระบิดาผู้ยิ่งใหญ่  ขออย่าได้ฆ่าพวกข้าพระองค์จำนวนมากมายถึงเพียงนี้เลย  ถ้าพวกข้าพระองค์ยังมีชีวิตอยู  แม้จะถูกจองจำด้วยโซ่ตรวน  ก็ยังสามารถทำประโยชน์ได้  จักเลี้ยงช้างและม้า  ขนคูถช้างและม้าได้  ขอจงประทานให้พวกข้าพระองค์ไปเป็นทาสแก่กัณฑหาลตามความประสงค์ของพระองค์  หรือขับไล่เสียจากรัฐก็ได้  ข้าพระองค์ทั้งหลายก็จะท่องเที่ยวหาเลี้ยงชีพไปตามยถากรรม  ขอจงประทานชีวิตแก่ข้าพระบาททั้งหลายเถิด  พระเจ้าข้า"

พระราชาได้สดับคำรำพันร้องขอชีวิตของพระราชกุมารแล้ว  ก็รู้สึกสลดพระทัย  มีน้ำพระเนตรหลั่งไหล  ในที่สุดจึงตรัสว่า  "เจ้าพร่ำรำพันร้องขอชีวิตอยู่  ทำให้เกิดทุกขเวทนาแก่เรานัก  อำมาตย์ทั้งหลาย  จงปลดปล่อยทุกชีวิตในบัดนี้  เราขอพอกันทีเรื่องการบูชายัญ  ไม่เอาละ"

ฝ่ายกัณฑหาลพราหมณ์  กำลังจัดแจงพิธีกรรมอยู่ในหลุมยัญ  ได้ยินเสียงคนร้องประกาศว่า  "เฮ้ย  เจ้ากัณฑหาล  เจ้าคนอันธพาล  พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชโองการให้ปลดปล่อยแล้ว   คราวนี้เจ้าอย่ามีชีวิตอยู่เลย  เราจะฆ่าลูกเมียของเจ้า  เอาเลือดออกมาบูชายัญ"  จึงตกใจสุดขีด  รีบขึ้นจากหลุมวิ่งไปด้วยกำลังเร็วสุดขีด  ราวกับถูกไฟลุกไล่ตามหลังไปฉะนั้น  ตรงไปหาพระราชาแล้วกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  ข้าพระองค์ได้กราบทูลไว้แล้ว  ว่าการบูชายัญนั้นกระทำให้สำเร็จได้ยากนัก  มาบัดนี้ก็ไม่สามารถกระทำให้สำเร็จจริง ๆ  แล้วพระองค์จะหาทางไปสวรรค์ได้อย่างไรกัน  ขอได้โปรดฟังข้าพระองค์อีกครั้งเถิด  ชนเหล่าใดบูชายัญเองก้ดี  ให้ผู้อื่นบูชาก็ดี  หรือแม้แต่ยินดีในการบูชาของผู้อื่นก็ดี  ชนเหล่านั้นย่อมไปสู่สวรรค์ทั้งสิ้น  พระเจ้าข้า"

พระราชาผู้โง่เขลาเบาปัญญา  ได้ทรงฟังคำมีสำนวนคล้ายสุภาษิตเช่นนั้น  ก็กลับสำคัญว่าประกอบด้วยธรรม  จึงตรัสสั่งให้จับคนทั้งหลาย  ที่ปลดปล่อยไปนั้นกลับมาอีก


.......................


(ยังมีต่ออีก)