""ข้าแต่พระชนกเจ้า บุคคลใดคบสัตบุรุษ มีศีล หรือสัตบุรษ ไร้ศีล บุคคลนั้นย่อมเป็นไปตามอำนาจวิสัยของผู้นั้น คบคนเช่นใดก็เป็นเช่นนั้น ย่อมติดนิสัยของผู้ที่ตนคบหาสมาคมด้วย เหมือนลูกศรอาบยาพิษย่อมเปื้อนแล่ง ฉะนั้น นักปราชญ์กลัวแปดเปื้อนจึงไม่คบมิตรชั่ว เพราะถือว่า ใบไม้ย่อมมีกลิ่นเหม็นเพราะเอาไปห่อปลาเน่า แต่ใบไม้จะมีกลิ่นหอมถ้าได้เอาไปห่อหุ้มของหอม การคบกับนักปราชญ์ก็จะทำให้คนนั้นเป็นนักปราชญ์ตามไปด้วย
"ในอดีต หม่อมฉันเกิดเป็นชาย เป็นบุตรนายช่างทอง คบหาบาปมิตรคนหนึ่ง จึงกระทำบาปไว้มาก เที่ยวทำชู้กับภรรยาผู้อืน ราวกะจะไม่ตาย แต่บาปกรรมยังไม่ให้ผล เหมือนไฟที่เถ้าปกปิดไว้ ต่อมาหม่อมฉันได้ไปเกิดนตระกูลเศรษฐี ได้คบหากัลยาณมิตรผู้รักดีมีปัญญา เขาได้ชักนำให้หม่อมฉันทำแต่ประโยชน์ แต่ผลบุญที่ทำไว้ก็ยังไม่ให้ผล เหมือนขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ พอจุติจากชาติที่เป็นบุตรเศรษฐีก็ให้ผล ต้องตกอยู่ใน `โรรุวนรก` ช้านาน นึกขึ้นมาแล้วไม่สุขใจเลย พ้นจากนรกนั้นก็มาเกิดเป็นลา ถูกเขาตอนเพราะเศษกรรมยังเหลืออยู่อีก ถูกเขาขี่หลังบ้าง ใช้เทียมรถบ้าง นั่นเป็นผลกรรมที่เป็นชู้ภรรยาผู้อื่น จากชาติที่เป็นลาก็มาเกิดเป็นลิงในป่า ถูกลิงนายฝูงขบลูกอัณฑะ จะร้องเท่าไรก้ไม่ปล่อย ได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส นั่นก็เป้นผลของการที่เป็นชู้ภรรยาผู้อื่น จากชาติที่เป็นลิงก็มาเกิดเป็นโค ถูกเขาตอนเอาไว้ใช้งานอยู่ช้านาน จากชาติโคก็มาเกิดเป็นกะเทยในตระกูลมั่งคั่ง กว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์นี้ยากจริง ๆ นั่นก็เป็นผลของการเป็นชู้ภรรยาผู้อื่น พอพ้นจากชาติที่เป็นกะเทยไปได้ ผลบุญที่ทำไว้เมื่อเป็นบุตรเศรษฐีมีเพื่อนดีนั้นก็เริ่มส่งผล จึงได้ไปเกิดเป็นเทพอัปสรมีรูปโฉมงดงามอยู่ในชั้นดาวดึงส์ ตามที่ได้กราบทูลมานี้ เป็นอันว่ากรรมที่เราทำ จะเป็นบุญหรือบาปก็ตาม ย่อมจะติดตามเราไปทุก ๆ ชาติไม่มีหยุด ทำลงไปแล้วจะต้องได้รับผลตามลำดับก่อนหลังทุกประการ
"ชายใดปรารถนาจะเป็นบุรุษทุกชาติไป ก็พึงเว้นภรรยาผู้อื่นเสีย ให้เหมือนกับเท้าที่ล้างสะอาดแล้วเว้นแตะต้องเปือกตม ฉะนั้น หญิงใดหวังจะเป็นบุรุษทุก ๆ ชาติ ก็พึงยำเกรงสามี ให้เหมือนกับว่าบาทบริจาริกาของพระอินทร์ ฉะนั้น ผู้ใดปรารถนาทรัพย์ อายุ ยศ สุข ก็พึงเว้นบาปทั้งหลายเสีย ประพฤติแต่สุจริตธรรม ผู้ที่มียศ ทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นผู้เคยได้สั่งสมความดีไว้ในปางก่อนแล้วทั้งนั้น สัตว์ทุกเหล่ามีกรรมเป็นของตน เป็นไปตามอำนาจกรรมที่ตัวเองทำขึ้น
"ข้าแต่พระชนก พระองค์อย่าทรงถือถ้อยคำของคนเปลือยกายผู้มิจฉาทิฐิเลย โลกนี้มี โลกหน้าก็มี สมณพราหมณ์มี ผลของความดีความชั่วมี ขอพระองค์จงเชื่อคำของกัลยาณมิตรเช่นหม่อมฉันกล่าวนี้เถิด"
แม้พระนางรุจาราชกุมารีกราบทูลถึงอย่างนั้น ตั้งแต่เช้าจนตลอดคืน ก็ไม่สมารถจะปลดเปลื้องพระชนกจากมิจฉาทิฐิได้ ถึงกระนั้น พระนางก็มิได้ละความพยายาม ดำริหาช่องทางต่อไปอีกว่า จะต้องหาอุบายอย่างใดอยางหนึ่ง ทำความสำเร็ให้จงได้ จึงประคองอัญชลีขึ้นแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า "ถ้าเทพยดาฟ้าดินมีอยู่ ก็ขอให้โปรดมาช่วยเปลื้องมิจฉาทิฐิของพระชนกด้วยเถิด จะได้บังเกิดวามสวัสดีแกสากลโลก"
ครั้งน้้น มีพราหมณเทพองค์หนึ่ง ชื่อ นารทะ เป็นผู้้งมั่นอยู่ในนเมตตา กรุณา คอยหาโอกาสที่จะให้ความอุปการะเกื้อกูลแก่ผู้อื่นอยู่เสมอ ในวันนั้นเห็นว่า พระนางรุจาราชกุมารีกำลังพยายามทำความดีอันยิ่งใหญ่ ควรจะช่วยเหลือให้สำเร็จลุล่วงไป คนอื่นไม่มีใครสามารถที่จะปลดเปลื้องมิจฉาทิฐิของพระเจ้าอังคติราชได้ จึงแปลงเพศเป็นบรรพชิตเอาภาชนะทองใส่สาแหรกข้างหนึ่ง คนโทน้ำแก้วประพาฬใส่อีกข้างหนึ่ง ใส่คานทองงามงอนวางเหนือบ่า เหาะมาโดยเร็ว ตรงเข้าสู่จันทรปราสาทอันเป็นที่ประทับของพระเจ้าอังคติราช แล้วยืนลอยอยู่ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระราชา
พระนางรุจาราชกุมารีเห็นพระนารทะมาดังนั้น จึงก้มลงนมัสการ ส่วนพระเจ้าอังคติราชพอทอดพระเนตรเห็น ก็ทรงตะลึง ไม่อาจประทับอยู่บนราชอาสน์ได้ จึงเสด็จลงมาประทับยืนบนพื้นแล้วตรัสถามว่า "ท่านมีวรรณงาม ส่องสว่างจ้าราวกะพระจันทร์ในวันเพ็ญ ท่านมาจากไหน ?"
"อาตมาภาพมาจากเทวโลกเดี๋วนี้ มีนามว่า นารทะ" นารทะตอบ
"การที่ท่านยืนอยู่บนอากาศได้เช่นนั้น น่าอัศจรรย์ ท่านนารทะ ขอถามท่านสักหน่อยเถอะ เหตุใดท่านจึงมีฤทธิ์เช่นนั้น ?" พระราชาตรัสถาม
"เพราะอาตมาภาพได้บำเพ็ญคุณธรรม ๔ ประการไว้ในชาติก่อน คือ สัจจะ ธรรมะ ทมะและจาคะ จึงมีฤทธิ์เดชไปไหนได้ตามปรารถนารวดเร็วทันใจ" นารทะตอบ
"ผลบุญมีหรือท่าน บุญฤทธิ์ที่ท่านบอกน่าอัศจรรย์ ถ้าเป็นจริงอย่างท่านว่า ข้าพเจ้าอยากจะขอถามบ้าง โปรดช่วยชี้แจงให้เข้าใจด้วยเถิด"
พระนารทะ "ขอถวายพระพร พระองค์ทรงสงสัยข้อใดก็จงตรัสมาเถิด"
พระราชา "ข้าแต่ท่านนารทะ เขาพูดกันว่า มีเทวดา มีบิดามารดา มีปรโลก มีจริงหรือ ?"
พระนารทะ "ที่เขาว่านั้น มีทั้งนั้น แต่นรชนผู้หลงงมงายหารู้ไม่"
พระราชา "ข้าแต่ท่านนารทะ ถ้าท่านเชื่อว่า ปรโลกมีจริง ผู้ที่ตายไปแล้ว ก็มีที่อยู่นะซิ ถ้ากระน้้น ข้าพเจ้าขอยืมทรัพย์ท่านไว้ใช้ในโลกนี้สักห้าร้อยเถิด ถึงโลกหน้าข้าพเจ้าจะใช้ให้พันหนึ่ง"
"ในอดีต หม่อมฉันเกิดเป็นชาย เป็นบุตรนายช่างทอง คบหาบาปมิตรคนหนึ่ง จึงกระทำบาปไว้มาก เที่ยวทำชู้กับภรรยาผู้อืน ราวกะจะไม่ตาย แต่บาปกรรมยังไม่ให้ผล เหมือนไฟที่เถ้าปกปิดไว้ ต่อมาหม่อมฉันได้ไปเกิดนตระกูลเศรษฐี ได้คบหากัลยาณมิตรผู้รักดีมีปัญญา เขาได้ชักนำให้หม่อมฉันทำแต่ประโยชน์ แต่ผลบุญที่ทำไว้ก็ยังไม่ให้ผล เหมือนขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ พอจุติจากชาติที่เป็นบุตรเศรษฐีก็ให้ผล ต้องตกอยู่ใน `โรรุวนรก` ช้านาน นึกขึ้นมาแล้วไม่สุขใจเลย พ้นจากนรกนั้นก็มาเกิดเป็นลา ถูกเขาตอนเพราะเศษกรรมยังเหลืออยู่อีก ถูกเขาขี่หลังบ้าง ใช้เทียมรถบ้าง นั่นเป็นผลกรรมที่เป็นชู้ภรรยาผู้อื่น จากชาติที่เป็นลาก็มาเกิดเป็นลิงในป่า ถูกลิงนายฝูงขบลูกอัณฑะ จะร้องเท่าไรก้ไม่ปล่อย ได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส นั่นก็เป้นผลของการที่เป็นชู้ภรรยาผู้อื่น จากชาติที่เป็นลิงก็มาเกิดเป็นโค ถูกเขาตอนเอาไว้ใช้งานอยู่ช้านาน จากชาติโคก็มาเกิดเป็นกะเทยในตระกูลมั่งคั่ง กว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์นี้ยากจริง ๆ นั่นก็เป็นผลของการเป็นชู้ภรรยาผู้อื่น พอพ้นจากชาติที่เป็นกะเทยไปได้ ผลบุญที่ทำไว้เมื่อเป็นบุตรเศรษฐีมีเพื่อนดีนั้นก็เริ่มส่งผล จึงได้ไปเกิดเป็นเทพอัปสรมีรูปโฉมงดงามอยู่ในชั้นดาวดึงส์ ตามที่ได้กราบทูลมานี้ เป็นอันว่ากรรมที่เราทำ จะเป็นบุญหรือบาปก็ตาม ย่อมจะติดตามเราไปทุก ๆ ชาติไม่มีหยุด ทำลงไปแล้วจะต้องได้รับผลตามลำดับก่อนหลังทุกประการ
"ชายใดปรารถนาจะเป็นบุรุษทุกชาติไป ก็พึงเว้นภรรยาผู้อื่นเสีย ให้เหมือนกับเท้าที่ล้างสะอาดแล้วเว้นแตะต้องเปือกตม ฉะนั้น หญิงใดหวังจะเป็นบุรุษทุก ๆ ชาติ ก็พึงยำเกรงสามี ให้เหมือนกับว่าบาทบริจาริกาของพระอินทร์ ฉะนั้น ผู้ใดปรารถนาทรัพย์ อายุ ยศ สุข ก็พึงเว้นบาปทั้งหลายเสีย ประพฤติแต่สุจริตธรรม ผู้ที่มียศ ทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นผู้เคยได้สั่งสมความดีไว้ในปางก่อนแล้วทั้งนั้น สัตว์ทุกเหล่ามีกรรมเป็นของตน เป็นไปตามอำนาจกรรมที่ตัวเองทำขึ้น
"ข้าแต่พระชนก พระองค์อย่าทรงถือถ้อยคำของคนเปลือยกายผู้มิจฉาทิฐิเลย โลกนี้มี โลกหน้าก็มี สมณพราหมณ์มี ผลของความดีความชั่วมี ขอพระองค์จงเชื่อคำของกัลยาณมิตรเช่นหม่อมฉันกล่าวนี้เถิด"
แม้พระนางรุจาราชกุมารีกราบทูลถึงอย่างนั้น ตั้งแต่เช้าจนตลอดคืน ก็ไม่สมารถจะปลดเปลื้องพระชนกจากมิจฉาทิฐิได้ ถึงกระนั้น พระนางก็มิได้ละความพยายาม ดำริหาช่องทางต่อไปอีกว่า จะต้องหาอุบายอย่างใดอยางหนึ่ง ทำความสำเร็ให้จงได้ จึงประคองอัญชลีขึ้นแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า "ถ้าเทพยดาฟ้าดินมีอยู่ ก็ขอให้โปรดมาช่วยเปลื้องมิจฉาทิฐิของพระชนกด้วยเถิด จะได้บังเกิดวามสวัสดีแกสากลโลก"
ครั้งน้้น มีพราหมณเทพองค์หนึ่ง ชื่อ นารทะ เป็นผู้้งมั่นอยู่ในนเมตตา กรุณา คอยหาโอกาสที่จะให้ความอุปการะเกื้อกูลแก่ผู้อื่นอยู่เสมอ ในวันนั้นเห็นว่า พระนางรุจาราชกุมารีกำลังพยายามทำความดีอันยิ่งใหญ่ ควรจะช่วยเหลือให้สำเร็จลุล่วงไป คนอื่นไม่มีใครสามารถที่จะปลดเปลื้องมิจฉาทิฐิของพระเจ้าอังคติราชได้ จึงแปลงเพศเป็นบรรพชิตเอาภาชนะทองใส่สาแหรกข้างหนึ่ง คนโทน้ำแก้วประพาฬใส่อีกข้างหนึ่ง ใส่คานทองงามงอนวางเหนือบ่า เหาะมาโดยเร็ว ตรงเข้าสู่จันทรปราสาทอันเป็นที่ประทับของพระเจ้าอังคติราช แล้วยืนลอยอยู่ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระราชา
พระนางรุจาราชกุมารีเห็นพระนารทะมาดังนั้น จึงก้มลงนมัสการ ส่วนพระเจ้าอังคติราชพอทอดพระเนตรเห็น ก็ทรงตะลึง ไม่อาจประทับอยู่บนราชอาสน์ได้ จึงเสด็จลงมาประทับยืนบนพื้นแล้วตรัสถามว่า "ท่านมีวรรณงาม ส่องสว่างจ้าราวกะพระจันทร์ในวันเพ็ญ ท่านมาจากไหน ?"
"อาตมาภาพมาจากเทวโลกเดี๋วนี้ มีนามว่า นารทะ" นารทะตอบ
"การที่ท่านยืนอยู่บนอากาศได้เช่นนั้น น่าอัศจรรย์ ท่านนารทะ ขอถามท่านสักหน่อยเถอะ เหตุใดท่านจึงมีฤทธิ์เช่นนั้น ?" พระราชาตรัสถาม
"เพราะอาตมาภาพได้บำเพ็ญคุณธรรม ๔ ประการไว้ในชาติก่อน คือ สัจจะ ธรรมะ ทมะและจาคะ จึงมีฤทธิ์เดชไปไหนได้ตามปรารถนารวดเร็วทันใจ" นารทะตอบ
"ผลบุญมีหรือท่าน บุญฤทธิ์ที่ท่านบอกน่าอัศจรรย์ ถ้าเป็นจริงอย่างท่านว่า ข้าพเจ้าอยากจะขอถามบ้าง โปรดช่วยชี้แจงให้เข้าใจด้วยเถิด"
พระนารทะ "ขอถวายพระพร พระองค์ทรงสงสัยข้อใดก็จงตรัสมาเถิด"
พระราชา "ข้าแต่ท่านนารทะ เขาพูดกันว่า มีเทวดา มีบิดามารดา มีปรโลก มีจริงหรือ ?"
พระนารทะ "ที่เขาว่านั้น มีทั้งนั้น แต่นรชนผู้หลงงมงายหารู้ไม่"
พระราชา "ข้าแต่ท่านนารทะ ถ้าท่านเชื่อว่า ปรโลกมีจริง ผู้ที่ตายไปแล้ว ก็มีที่อยู่นะซิ ถ้ากระน้้น ข้าพเจ้าขอยืมทรัพย์ท่านไว้ใช้ในโลกนี้สักห้าร้อยเถิด ถึงโลกหน้าข้าพเจ้าจะใช้ให้พันหนึ่ง"
.................................................
(ยังมีต่ออีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น