"รูปกายอันประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ นี้ เมื่อแตกทำลายลงก็แยกจากกันไป ความสุขทุกข์ก็ลอยไปตามลม ใครฆ่าใคร ทำร้ายใคร เบียดเบียนใครไม่เป็นบาป ดาบที่ฟันเข้าไปในเนื้อย่อมเป็นไปตามเรื่อง ไม่จัดว่าใครทำร้าย
อลาตเสนาบดีได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวเสริมขึ้นว่า "คำที่ท่านอาจารย์วิสัชนานั้นป็นความจริงเหลือเกิน"
คุณาชีวกได้อธิบายตามความเห็นของตนต่อไปว่า "สัตว์ทุกจำพวกเมื่อเวียนว่ายตายเกิดไปในวัฏสงสารถึง ๘๔ กัป ก็บริสุทธิ์ไปเอง เมื่อยังไม่ถึงกำหนดนั้น แม้จะสำรวมระวัง แม้จะประพฤติดีเท่าดี ก็บริสุทธิ์ไม่ได้ แต่ถ้าถึงกำหนดนั้นแล้ว แม้จะได้กระทำบาปไว้มากมาย ก็ไม่เกินกำหนดนั้นไปได้ ถึง ๘๔ กัป เป็นต้องบริสุทธิ์ขึ้นเองตามกาล ไม่เลยเขตนั้นไปได้เป็นแน่แท้ราวกับกระแสคลื่นย่อมไม่ซัดล่วงเลยฝั่งไปได้ฉันนั้น"
พระเจ้าอังคติราชได้สดับดังนั้น จึงตรัสว่า "ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าได้ประมาทมานานทีเดียว เพราะหลงเชื่อว่า ทำความดีแล้วจะได้ไปสู่สุคติ จึงงดเว้นจากความเพลิดเพลินในกามคุณ ขวนขวายแต่ในทางธรรมพร่ำสอนชี้แจงความดีความชั่วแก่ประชาราษฎร บัดนี้ เราได้ท่านอาจารย์ชี้แจงให้เห็นความจริงแล้ว ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า บุญไม่มี คนจะบริสุทธิ์ได้เองเมื่อถึงกำหนดเวลา แต่นี้ไปพวกข้าพเจ้าจะเพลิดเพลินในกามคุณ แม้แต่การฟังธรรมคำสอนในสำนักของท่านก็เสียเวลาเปล่าไม่เกิดผลอันใด ขอท่านจงอยู่สบายเถิด ข้าพเจ้าจะลาไปรีบหาความเพลิดเพลินในกามคุณละ"
เมื่อพระเจ้าอังคติราชาเสด็จกลับถึงราชนิเวศน์แล้ว รุ่งขึ้นจึงเรียกประชุมเหล่าอำมาตย์ทั้งหลาย เมื่อเหล่าอำมาตย์ประชุมพร้อมกันแล้ว จึงมีพระดำรัสว่า "พวกท่านจงบำเรอกามคุณกันเถิด นับแต่นี้ไปเราจะเสวยความสุขในกามคุณเท่านั้น อย่ารายงานกิจการอะไรให้เราทราบเลย จงวินิจฉัยกันไปเองเถิด"
ขณะนั้น เกิดลือกันขึ้นทั่วพระนครว่า พระราชาเป็นมิจฉาทิฐิ เชื่อตามคำของคุณาชีวก บรรดาพระพี่เลี้ยงนางนมจึงทูลพระนางรุจาราชกุมารีว่า "ข้าแต่พระแม่เจ้า พระชนกของพระองค์ทรงเป็นมิจฉาทิฐิไปเสียแล้ว เพราะเชื่อถ้อยคำของคุณาชีวก รับสั่งให้รื้อโรงทานที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ข่มขืนหญิงและเด็กที่มีผู้ปกครองหวงห้าม ไม่ทรงวิจารณ์ราชกรณียกิจเลย มัวเมาอยู่แต่ในกามคุณเท่านั้น"
พระนางรุจาราชกุมารีได้สดับคำพระพี่เลี้ยงนางนมเช่นนี้ ก็คอยหาโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดา เพื่อกราบทูลให้ทรงเปลี่ยนพระทัย เมื่อได้โอกาาสจึงเข้าเฝ้าพระบิดาพร้อมด้วยบริวาร
"เจ้ายังคงมีความสุขสบายดีอยู่หรือ มีอะไรบกพร่องในสิ่งที่เขาปฏิบัติแก่เจ้าบ้างหรือไม่ ?" พระราชาตรัสถาม
"ข้าแต่พระบิดา หม่อมฉันได้รับความสุขสมบูรณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่หม่อมฉันมาเฝ้าครั้งนี้ก็เพื่อกราบทูลขอพระราชทานทรัพย์สัก ๑,๐๐๐ เพื่อเอาไปให้ทานอย่างที่เคยทำมา เพราะพรุ่งนี้เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เพคะ" พระราชกุมารีกราบทูล
ทรัพย์ของพ่อที่มีอยู่ ลูกนำไปใช้จ่ายเสียในทางที่ไม่เป็นประโยชน์เป็นจำนวนมากโดยไม่ได้รับผลตอบแทนเลย นี่เจ้ายังคงอดอาหารในวันอุโบสถอยู่อีกหรือ ไม่ได้บุญดอกลูก ปรโลกไม่มีดอกลูก ลำบากเปล่า ๆ ไม่มีประโยชน์อะไร" พระราชาตรัส
"ข้าแต่พระบิดา บัดนี้ หม่อมฉันได้เห็นประจักษ์แล้วว่า ผู้ใดคบคนพาล ผู้นั้นก็เป็นพาลไปด้วย ผู้หลงอาศัยคนหลงจึงหลงยิ่งขึ้น ข้าแต่พระชนก พระองค์ก็ชื่อว่า ทรงมีพระปรีชาสามารถ ฉลาดรู้อรรถธรรม ไฉนหาผลมิได้ ชนส่วนมากไม่รู้อะไร พอได้ฟังคำของคุณาชีวกเข้าก็หลงเชื่องมงาย เมื่อเบื้องต้นยึดผิดเสียแล้ว ก็ยากที่จะปลดเปลื้องจากหายนะไปได้ เหมือนปลาติดเบ็ดยากที่จะดิ้นให้หลุดได้ ฉะนั้น" พระราชกุมารีกราบทูล
ขณะที่พระชนกกำลังทรงดุษณีอยู่นั้น พระนางรุจาราชกุมารีจึงกราบทูลต่อไปว่า "ข้าแต่พระชนกเจ้า หม่อมฉันอยากจะยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบถวาย บัณฑิตบางคนในโลกนี้รู้เรื่องด้วยอุปมา เรือพ่อค้าบรรทุกสินค้าหนักเกินประมาณ ย่อมจะไปจมลงในมหาสมุทร ฉันใด ชนผู้สั่งสมบาปไว้แม้จะทีละน้อย ๆ พอเพียงเข้า ก็จะจมลงในนรก ฉันนั้นเหมือนกัน"
อลาตเสนาบดีได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวเสริมขึ้นว่า "คำที่ท่านอาจารย์วิสัชนานั้นป็นความจริงเหลือเกิน"
คุณาชีวกได้อธิบายตามความเห็นของตนต่อไปว่า "สัตว์ทุกจำพวกเมื่อเวียนว่ายตายเกิดไปในวัฏสงสารถึง ๘๔ กัป ก็บริสุทธิ์ไปเอง เมื่อยังไม่ถึงกำหนดนั้น แม้จะสำรวมระวัง แม้จะประพฤติดีเท่าดี ก็บริสุทธิ์ไม่ได้ แต่ถ้าถึงกำหนดนั้นแล้ว แม้จะได้กระทำบาปไว้มากมาย ก็ไม่เกินกำหนดนั้นไปได้ ถึง ๘๔ กัป เป็นต้องบริสุทธิ์ขึ้นเองตามกาล ไม่เลยเขตนั้นไปได้เป็นแน่แท้ราวกับกระแสคลื่นย่อมไม่ซัดล่วงเลยฝั่งไปได้ฉันนั้น"
พระเจ้าอังคติราชได้สดับดังนั้น จึงตรัสว่า "ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าได้ประมาทมานานทีเดียว เพราะหลงเชื่อว่า ทำความดีแล้วจะได้ไปสู่สุคติ จึงงดเว้นจากความเพลิดเพลินในกามคุณ ขวนขวายแต่ในทางธรรมพร่ำสอนชี้แจงความดีความชั่วแก่ประชาราษฎร บัดนี้ เราได้ท่านอาจารย์ชี้แจงให้เห็นความจริงแล้ว ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า บุญไม่มี คนจะบริสุทธิ์ได้เองเมื่อถึงกำหนดเวลา แต่นี้ไปพวกข้าพเจ้าจะเพลิดเพลินในกามคุณ แม้แต่การฟังธรรมคำสอนในสำนักของท่านก็เสียเวลาเปล่าไม่เกิดผลอันใด ขอท่านจงอยู่สบายเถิด ข้าพเจ้าจะลาไปรีบหาความเพลิดเพลินในกามคุณละ"
เมื่อพระเจ้าอังคติราชาเสด็จกลับถึงราชนิเวศน์แล้ว รุ่งขึ้นจึงเรียกประชุมเหล่าอำมาตย์ทั้งหลาย เมื่อเหล่าอำมาตย์ประชุมพร้อมกันแล้ว จึงมีพระดำรัสว่า "พวกท่านจงบำเรอกามคุณกันเถิด นับแต่นี้ไปเราจะเสวยความสุขในกามคุณเท่านั้น อย่ารายงานกิจการอะไรให้เราทราบเลย จงวินิจฉัยกันไปเองเถิด"
ขณะนั้น เกิดลือกันขึ้นทั่วพระนครว่า พระราชาเป็นมิจฉาทิฐิ เชื่อตามคำของคุณาชีวก บรรดาพระพี่เลี้ยงนางนมจึงทูลพระนางรุจาราชกุมารีว่า "ข้าแต่พระแม่เจ้า พระชนกของพระองค์ทรงเป็นมิจฉาทิฐิไปเสียแล้ว เพราะเชื่อถ้อยคำของคุณาชีวก รับสั่งให้รื้อโรงทานที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ข่มขืนหญิงและเด็กที่มีผู้ปกครองหวงห้าม ไม่ทรงวิจารณ์ราชกรณียกิจเลย มัวเมาอยู่แต่ในกามคุณเท่านั้น"
พระนางรุจาราชกุมารีได้สดับคำพระพี่เลี้ยงนางนมเช่นนี้ ก็คอยหาโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดา เพื่อกราบทูลให้ทรงเปลี่ยนพระทัย เมื่อได้โอกาาสจึงเข้าเฝ้าพระบิดาพร้อมด้วยบริวาร
"เจ้ายังคงมีความสุขสบายดีอยู่หรือ มีอะไรบกพร่องในสิ่งที่เขาปฏิบัติแก่เจ้าบ้างหรือไม่ ?" พระราชาตรัสถาม
"ข้าแต่พระบิดา หม่อมฉันได้รับความสุขสมบูรณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่หม่อมฉันมาเฝ้าครั้งนี้ก็เพื่อกราบทูลขอพระราชทานทรัพย์สัก ๑,๐๐๐ เพื่อเอาไปให้ทานอย่างที่เคยทำมา เพราะพรุ่งนี้เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เพคะ" พระราชกุมารีกราบทูล
ทรัพย์ของพ่อที่มีอยู่ ลูกนำไปใช้จ่ายเสียในทางที่ไม่เป็นประโยชน์เป็นจำนวนมากโดยไม่ได้รับผลตอบแทนเลย นี่เจ้ายังคงอดอาหารในวันอุโบสถอยู่อีกหรือ ไม่ได้บุญดอกลูก ปรโลกไม่มีดอกลูก ลำบากเปล่า ๆ ไม่มีประโยชน์อะไร" พระราชาตรัส
"ข้าแต่พระบิดา บัดนี้ หม่อมฉันได้เห็นประจักษ์แล้วว่า ผู้ใดคบคนพาล ผู้นั้นก็เป็นพาลไปด้วย ผู้หลงอาศัยคนหลงจึงหลงยิ่งขึ้น ข้าแต่พระชนก พระองค์ก็ชื่อว่า ทรงมีพระปรีชาสามารถ ฉลาดรู้อรรถธรรม ไฉนหาผลมิได้ ชนส่วนมากไม่รู้อะไร พอได้ฟังคำของคุณาชีวกเข้าก็หลงเชื่องมงาย เมื่อเบื้องต้นยึดผิดเสียแล้ว ก็ยากที่จะปลดเปลื้องจากหายนะไปได้ เหมือนปลาติดเบ็ดยากที่จะดิ้นให้หลุดได้ ฉะนั้น" พระราชกุมารีกราบทูล
ขณะที่พระชนกกำลังทรงดุษณีอยู่นั้น พระนางรุจาราชกุมารีจึงกราบทูลต่อไปว่า "ข้าแต่พระชนกเจ้า หม่อมฉันอยากจะยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบถวาย บัณฑิตบางคนในโลกนี้รู้เรื่องด้วยอุปมา เรือพ่อค้าบรรทุกสินค้าหนักเกินประมาณ ย่อมจะไปจมลงในมหาสมุทร ฉันใด ชนผู้สั่งสมบาปไว้แม้จะทีละน้อย ๆ พอเพียงเข้า ก็จะจมลงในนรก ฉันนั้นเหมือนกัน"
........................
(ยังมีต่ออีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น