วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๘ พระนารทะ (หน้า ๒)

"รูปกายอันประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔  นี้  เมื่อแตกทำลายลงก็แยกจากกันไป  ความสุขทุกข์ก็ลอยไปตามลม  ใครฆ่าใคร  ทำร้ายใคร  เบียดเบียนใครไม่เป็นบาป  ดาบที่ฟันเข้าไปในเนื้อย่อมเป็นไปตามเรื่อง  ไม่จัดว่าใครทำร้าย

อลาตเสนาบดีได้ฟังดังนั้น  จึงกล่าวเสริมขึ้นว่า  "คำที่ท่านอาจารย์วิสัชนานั้นป็นความจริงเหลือเกิน"

คุณาชีวกได้อธิบายตามความเห็นของตนต่อไปว่า  "สัตว์ทุกจำพวกเมื่อเวียนว่ายตายเกิดไปในวัฏสงสารถึง ๘๔ กัป  ก็บริสุทธิ์ไปเอง  เมื่อยังไม่ถึงกำหนดนั้น  แม้จะสำรวมระวัง  แม้จะประพฤติดีเท่าดี  ก็บริสุทธิ์ไม่ได้  แต่ถ้าถึงกำหนดนั้นแล้ว  แม้จะได้กระทำบาปไว้มากมาย  ก็ไม่เกินกำหนดนั้นไปได้  ถึง ๘๔ กัป  เป็นต้องบริสุทธิ์ขึ้นเองตามกาล  ไม่เลยเขตนั้นไปได้เป็นแน่แท้ราวกับกระแสคลื่นย่อมไม่ซัดล่วงเลยฝั่งไปได้ฉันนั้น"   

พระเจ้าอังคติราชได้สดับดังนั้น  จึงตรัสว่า  "ท่านอาจารย์  ข้าพเจ้าได้ประมาทมานานทีเดียว  เพราะหลงเชื่อว่า  ทำความดีแล้วจะได้ไปสู่สุคติ  จึงงดเว้นจากความเพลิดเพลินในกามคุณ  ขวนขวายแต่ในทางธรรมพร่ำสอนชี้แจงความดีความชั่วแก่ประชาราษฎร  บัดนี้ เราได้ท่านอาจารย์ชี้แจงให้เห็นความจริงแล้ว  ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า   บุญไม่มี  คนจะบริสุทธิ์ได้เองเมื่อถึงกำหนดเวลา  แต่นี้ไปพวกข้าพเจ้าจะเพลิดเพลินในกามคุณ  แม้แต่การฟังธรรมคำสอนในสำนักของท่านก็เสียเวลาเปล่าไม่เกิดผลอันใด  ขอท่านจงอยู่สบายเถิด  ข้าพเจ้าจะลาไปรีบหาความเพลิดเพลินในกามคุณละ"

เมื่อพระเจ้าอังคติราชาเสด็จกลับถึงราชนิเวศน์แล้ว  รุ่งขึ้นจึงเรียกประชุมเหล่าอำมาตย์ทั้งหลาย  เมื่อเหล่าอำมาตย์ประชุมพร้อมกันแล้ว  จึงมีพระดำรัสว่า  "พวกท่านจงบำเรอกามคุณกันเถิด  นับแต่นี้ไปเราจะเสวยความสุขในกามคุณเท่านั้น  อย่ารายงานกิจการอะไรให้เราทราบเลย  จงวินิจฉัยกันไปเองเถิด"

ขณะนั้น  เกิดลือกันขึ้นทั่วพระนครว่า  พระราชาเป็นมิจฉาทิฐิ  เชื่อตามคำของคุณาชีวก  บรรดาพระพี่เลี้ยงนางนมจึงทูลพระนางรุจาราชกุมารีว่า  "ข้าแต่พระแม่เจ้า  พระชนกของพระองค์ทรงเป็นมิจฉาทิฐิไปเสียแล้ว  เพราะเชื่อถ้อยคำของคุณาชีวก  รับสั่งให้รื้อโรงทานที่ประตูเมืองทั้ง ๔  ข่มขืนหญิงและเด็กที่มีผู้ปกครองหวงห้าม  ไม่ทรงวิจารณ์ราชกรณียกิจเลย  มัวเมาอยู่แต่ในกามคุณเท่านั้น"

พระนางรุจาราชกุมารีได้สดับคำพระพี่เลี้ยงนางนมเช่นนี้  ก็คอยหาโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดา  เพื่อกราบทูลให้ทรงเปลี่ยนพระทัย  เมื่อได้โอกาาสจึงเข้าเฝ้าพระบิดาพร้อมด้วยบริวาร

"เจ้ายังคงมีความสุขสบายดีอยู่หรือ  มีอะไรบกพร่องในสิ่งที่เขาปฏิบัติแก่เจ้าบ้างหรือไม่ ?"  พระราชาตรัสถาม

"ข้าแต่พระบิดา  หม่อมฉันได้รับความสุขสมบูรณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง  ที่หม่อมฉันมาเฝ้าครั้งนี้ก็เพื่อกราบทูลขอพระราชทานทรัพย์สัก  ๑,๐๐๐  เพื่อเอาไปให้ทานอย่างที่เคยทำมา  เพราะพรุ่งนี้เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ  เพคะ"  พระราชกุมารีกราบทูล

ทรัพย์ของพ่อที่มีอยู่  ลูกนำไปใช้จ่ายเสียในทางที่ไม่เป็นประโยชน์เป็นจำนวนมากโดยไม่ได้รับผลตอบแทนเลย  นี่เจ้ายังคงอดอาหารในวันอุโบสถอยู่อีกหรือ  ไม่ได้บุญดอกลูก  ปรโลกไม่มีดอกลูก  ลำบากเปล่า ๆ  ไม่มีประโยชน์อะไร"  พระราชาตรัส

 "ข้าแต่พระบิดา  บัดนี้  หม่อมฉันได้เห็นประจักษ์แล้วว่า  ผู้ใดคบคนพาล  ผู้นั้นก็เป็นพาลไปด้วย  ผู้หลงอาศัยคนหลงจึงหลงยิ่งขึ้น  ข้าแต่พระชนก  พระองค์ก็ชื่อว่า  ทรงมีพระปรีชาสามารถ  ฉลาดรู้อรรถธรรม  ไฉนหาผลมิได้  ชนส่วนมากไม่รู้อะไร  พอได้ฟังคำของคุณาชีวกเข้าก็หลงเชื่องมงาย  เมื่อเบื้องต้นยึดผิดเสียแล้ว  ก็ยากที่จะปลดเปลื้องจากหายนะไปได้  เหมือนปลาติดเบ็ดยากที่จะดิ้นให้หลุดได้  ฉะนั้น"  พระราชกุมารีกราบทูล

ขณะที่พระชนกกำลังทรงดุษณีอยู่นั้น  พระนางรุจาราชกุมารีจึงกราบทูลต่อไปว่า  "ข้าแต่พระชนกเจ้า  หม่อมฉันอยากจะยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบถวาย  บัณฑิตบางคนในโลกนี้รู้เรื่องด้วยอุปมา  เรือพ่อค้าบรรทุกสินค้าหนักเกินประมาณ  ย่อมจะไปจมลงในมหาสมุทร  ฉันใด  ชนผู้สั่งสมบาปไว้แม้จะทีละน้อย ๆ  พอเพียงเข้า  ก็จะจมลงในนรก  ฉันนั้นเหมือนกัน"



........................

(ยังมีต่ออีก)
















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น