วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๓)


พราหมณ์ทั้ง ๘  คนนั้น  ได้ไปยังนครเชตุดร  คอยดักพบพระเวสสันดรเวลาทรงช้างมงคลออกตรวจดูโรงทานตามประตูเมืองทิศต่าง ๆ  พอพบพระเวสสันดรเสด็จมา  ก็ประคองแขนขึ้นเป็นการแสดงถึงการขอ  พระเวสสันดรจึงทรงขับช้างเข้าไปใกล้แล้วตรัสถาม  พอทรงทราบความประสงค์แล้ว  พระองค์ทรงดำริว่า  "เราได้ตั้งใจอยู่พร้อมแล้วว่า  จะบริจาคแม้กระทั่งชีวิตและเลือดเนื้อที่เรียกว่า  ทานภายใน  แต่ที่พราหมณ์นี้ขอก็คือช้างมงคลซึ่งเป็นเพียงทานภายนอกเท่านั้น  ทำไมเราจะให้ไม่ได้เล่า"  ดำริแล้วเสด็จลงจากคอช้าง  เรียกพรหมณ์เข้ามาใกล้ ๆ  แล้วทรงจับงวงช้างวางลงบนมือพราหมณ์  แล้วทรงหยิบคนโทน้ำหลั่งลงเป็นการแสดงว่า  ได้ประทานช้างให้แล้ว  พร้อมทั้งเครื่องประดับช้างอันประกอบด้วยแก้วแหวนเงินทองราคาหลายแสน

เมื่อการพระราชทานช้างเสร็จลงแล้ว  ก็เกิดแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนไปทั่ว  ชาวพระนครโจษจันกันด้วยความเสียดายอย่างที่สุด  เลยก่อการกำเริบขึ้น  เขาได้พากันไปกราบทูลพระเจ้ากรุงสญชัยให้ทรงทราบ  พระเจ้ากรุงสญชัยทรงสำคัญว่า  ชาวนครจะให้ทรงฆ่าพระเวสสันดรเสีย  จึงตรัสแก่ประชาชนชาวนครว่า  "พระเวสสันดรเป็นบุตรสุดที่รัก  เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเรา  เป็นสิ่งเดียวที่เรามีอยู่ในชีวิตนี้  เราจะฆ่าเสียได้อย่างไรกัน  อนึ่งเล่า  พระเวสสันดรเป็นผู้มีศีลประเสริฐสุด  การบริจาคทานทั้งปวงไม่ใช่เป็นความผิดคิดร้ายอย่างไร  ไฉนจะให้ฆ่าเสียด้วยเหตุผลอันใด"

ชาวนคร   "ไม่ต้องถึงกับฆ่าดอก  พระเจ้าข้า  แต่ว่าการบริจาคทานอย่างนี้  วันหนึ่งจะทำให้บ้านเมืองพินาศหมดสิ้น  ขอให้พระองค์จงทรงเนรเทศออกไปเสียจากนครสีพีนี้เถิด  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าสญชัย  "ถ้าชาวนครประสงค์อย่างนั้น  เราก็ไม่ขัดข้อง  ก็แต่ว่าขอให้พระราชบุตรของเราได้มีโอกาสพักผ่อนอยู่ในพระนครนี้สักราตรีก่อนเถิด  ต่อพรุ่งนี้จึงจะให้เสด็จออกจากพระนครไป"

ชาวนครได้ฟังดังนั้นก็พอใจ  ต่างทยอยกันกลับเคหสถานของตน  พระเจ้าสญชัยจึงตรัสเรียกนายนักการมา  แล้วให้ไปตามพระเวสสันดรมาเฝ้า

นายนักการนั้น  เข้าไปกราบทูลพระเวสสันดรให้ทรงทราบด้วยความเคารพอย่างที่สุด

นายนักการ  "ขอพระองค์ได้ทรงโปรดเถิด  ข้าพระบาทจะทูลความทุกข์ให้พระองค์ทราบ  ขอพระองค์อย่าได้ทรงโกรธแก่ข้าพระบาทเลย"

พระเวสสันดร  "มีอะไรก็ว่าไปเถอะ  เราจะให้อภัยแก่ท่าน"

นายนักการ  "ชาวนครทั้งหลายได้มาประชุมกันที่พระลานหลวง  เพราะมีความโกรธแค้นที่พระองค์ทรงประทานช้างมงคลแก่พราหมณ์กาลิงครัฐไป  ได้ขอให้พระเจ้าสญชัยเนรเทศพระองค์เสียจากพระนคร  พระเจ้าข้า"

พระเวสสันดร  "ทานที่เราให้ไปนั้น  จะเป็นช้างก็ดี  หรือเครื่องเพชรนิลจินดาที่ประดับช้างก็ดี  หรือจะเป็นแก้วมณี  แก้วไพฑูรย์  และแก้วมุกดาก็ดี  แม้จะมีค่ามากมายสักเพียงใดก็ตาม  ก็เป็นเพียงทานภายนอกเท่านั้น  แต่ทานภายใน  เช่น  ลูกตา  ขา  แขน  ตลอดจนเลือดเนื้อและดวงหทัย  แม้ว่ายาจกมาขอเราก็ยินดีบริจาคให้ไม่หวั่นไหว  เอาเถอะ  แม้ว่าชาวนครสีพีนี้จะฆ่าเราก็ตาม  จะตัดเราเป็น  ๗  ท่านก็ตาม  จะทำให้เรางดการให้ทานเสียมิได้เลย"

นายนักการทูลแนะนำว่า  "ขอพระองค์จงเสด็จไปอารัญชรคีรี  ทางฝั่งแม่น้ำโกนติมารา  พระเจ้าแผ่นดินที่ถูกเนรเทศจะเสด็จไปทางนี้  พระเจ้าข้า"

พระเวสสันดร  "ดีแล้ว  เราจะไปตามทางของพระเจ้าแผ่นดินที่ถูกเนรเทศ  แต่ว่าขอให้ชาวนครจงให้โอกาสแก่เราอีกสักวันหนึ่งเถอะ  เราอยากจะให้ทานอีกสักวันหนึ่ง  ในวันพรุ่งนี้  มะรืนนี้  เราจึงจะไป"

นายนักการรับพระดำรัสแล้วก็ทูลลากลับไป  เพื่อแจ้งให้พระเจ้าสญชัยและชาวนครทราบทั่วกัน

เมื่อนายนักการหลีกไปแล้ว  พระเวสสันดรก็ตรัสเรียกประชุมเสนาผู้ใหญ่  แล้วตรัสว่า  "พรุ่งนี้เราจะให้ทานเป็นหมวด  หมวดละ  ๗๐๐  เช่น  ช้าง  ๗๐๐  ม้า  ๗๐๐  รถ  ๗๐๐  โคนม  ๗๐๐  เป็นต้น  ซึ่งมีชื่อเรียกว่า  "สัตสดกมหาทาน"  ขอให้ท่านจงจัดสิ่งของทั้งปวงไว้ให้ถูกต้องเรียบร้อยทุกอย่าง ๆ  แม้กระทั่งสุราซึ่งเป็นของไม่ควร  ก็ขอให้จัดไว้ด้วย"

ตรัสสั่งเสร็จแล้วก็ให้เลิกประชุม  แล้วเสด็จเข้าพบพระนางมัทรีเป็นการส่วนพระองค์

พระเวสสันดร  "ที่รัก   ทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทอง  ทั้งที่เป็นของที่พี่ให้และะที่พระราชบิดาของเธอให้มานั้น  เธอเก็บรักษาไว้ดีแล้วหรือ ?"

พระนางมัทรี  "หม่อมฉันเก็บไว้เรียบร้อยทั้งหมดแล้ว  เพคะ"

พระเวสสันดร  "ดีแล้วน้องรัก  แต่พี่เห็นว่า  การเก็บรักษาไว้เช่นนั้นยังหาได้ชื่อว่าเก็บไว้ดีแล้วโดยแท้จริงไม่"

พระนางมัทรี  "พระองค์จะทรงให้หม่อมฉันเก็บไว้ที่ไหน  เพคะ ?"

พระเวสสันดร  "น้องควรนำมาบริจาคเป็นทานให้เป็นประโยชน์แก่คนยากจนดีกว่า  การเก็บไว้เฉย ๆ  เช่นนั้น  เป็นการทำของที่มีประโยชน์ให้ไร้ประโยชน์  ไม่มีความหมายอะไรยิ่งกว่าก้อนหินกรวดที่ฝังอยู่ในดินเลย  เพราะว่าที่พึ่งอันแท้จริงของสัตว์ทั้งหลาย  คือ  การบริจาคทาน"

พระนางมัทรี  "ดีละเพคะ  หม่อมฉันจะทำทานด้วย"

พระเวสสันดร  "แม่มัทรีน้องรัก  ต่อไปนี้ขอให้เธอจงมีความเอ็นดูกรุณาบุตรทั้ง  ๒  ให้มาก  ตลอดถึงพระบิดามารดาของพี่ด้วย  ถ้าจะมีผู้ใดมาตกลงเป็นภัสดาของเธอ  ก็ขอให้เธอจงปฏิบัติผู้นั้นโดยเคารพ  หรือถ้าไม่มีใครมาตกลง  พี่ก็อนุญาตให้เธอแสวงหาภัสดาใหม่ได้  เพราะเธอกับพี่จะต้องแยกจากกันแล้ว  เธออย่าต้องลำบากเพราะการจากพี่เลย"

พระนางมัทรี  "ข้าแต่พระทูลกระหม่อมแก้ว  ไฉนพระองค์จึงตรัสเรื่องไม่สมควรเช่นนี้เล่า  เพคะ"

พระเวสสันดรจึงตรัสเล่าเรื่องชาวนครโกรธแค้นจนให้เนรเทศพระองค์ให้พระนางมัทรีทรงทราบ  "มะรืนนี้  พี่ก็จะต้องออกจากพระนครแล้ว  ชีวิตคนเดียวของพี่ในป่าหิมพานต์นั้นเป็นที่น่าสงสัยอยู่"

พระนางมัทรี  "ข้าแต่ขัตติยราช  หม่อมฉันจะขอตามเสด็จไปด้วย  ระหว่างการไปตายกับพระองค์กับการมีชีวิตอยู่โดยปราศจากพระองค์  หม่อมฉันขอเลือกเอาการไปตายกับพระองค์  ชีวิตนี้ขาดพระองค์เสียแล้วก็หมดความหมาย  เพคะ"

พระเวสสันดร  "อย่าเลยที่รัก  ชาวนครประสงค์ให้เนรเทศพี่คนเดียว  ส่วนพระน้องนั้นไม่มีความผิดอันใด  ไม่ควรที่จะต้องพลอยไปได้รับความลำบากระหกระเหินกับพี่ด้วย  ข้อสำคัญก็คือพระน้องจะต้องดูแลบุตรทั้งสองที่น่ารักของเรา  เธอจะทอดทิ้งบุตรไปกับพี่ได้อย่างไรกัน"

พระนางมัทรี  "ภรรยาที่ดีจะต้องยินดีรับทุกข์รับสุขร่วมกับสามีเหมือนคนคนเดียวกัน  หม่อมฉันจะพาบุตรทั้งสองไปด้วย  ขอพระองค์อย่าทรงปริวิตกเลย"

พระนางมัทรีได้วาดภาพป่าหิมพานต์ให้พระเวสสันดรฟังอย่างน่ารื่นรมย์ว่า

"กุมารทั้งสองของเรากำลังน่ารัก  มีเสียงไพเราะ  นั่งเล่นเจรจาอยู่ตามพุ่มไม้ในป่าใกล้ ๆ  อาศรม  จะช่วยให้พระองค์ไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ"

"เมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรกุมารทั้งสองของเรา  ทรงประดับดอกไม้ป่า  ฟ้อนรำรื่นเริงอยู่ในบริเวณอาศรม  ก็จะทำให้ลืมราชสมบัติเสียได้"

"ป่าหิมพานต์นั้น  มีฝูงช้างไพรท่องเที่ยวไปมา  ส่งเสียงร้องก้องโกญจนาท  เกลื่อนกล่นด้วยสัตว์ป่านานาชนิด  มีนางกินรีฟ้อนรำ  ขับเพลงประสานเสียงน้ำตกอยู่เสมอ  ประกอบด้วยเสียงนกเค้า  เสียงราชสีห์  เสือโคร่ง  แรด  กวาง  วัวลาน  ร้องประสานรับกันเป็นระยะ ๆ  มีพญานกยูงแวดล้อมด้วยนางนกยูงรูปงามขนสีสวยอยู่เป็นหมู่ ๆ  มีต้นไม้ต่าง ๆ  บ้างก็ออกดอกเบ่งบานสะพรั่ง  ต่างสีต่างสวยส่งกลิ่นตลบ  บ้างก็มีลูกห้อยระย้าเต็มต้น  สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่จะพาให้รื่นรมย์  ลืมราชสมบัติและความบรมสุขในพระนครเสียได้"

พระนางมัทรีได้พรรณนาป่าหิมพานต์ให้พระเวสสันดรฟัง  อย่างน่ารื่นรมย์  ราวกะว่าพระนางได้เคยทอดพระเนตรมาแล้ว  ฉะนั้น


.................................


จาก...หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย...แปลก  สนธิรักษ์























วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๒)


๒.  หิมพานต์  (ตอน ๑)

เมื่อพระนางผุสดีเทพธิดาได้รับพร  ๑๐  ประการจากพระอินทร์แล้ว  ก็จุติจากสวรรค์ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์  ถือปฏิสนธิในครรภ์ของอัครมเหสีของพระเจ้ามัทราช  ได้ชื่อว่า  "ผุสดี"  พอมีพระชนม์ครบ  ๑๖  ปีก็พอดีพระเจ้าสีวีมหาราชแห่งนครเชตุดร  ทรงส่งทูตมาขอไปเป็นมเหสีของสญชัยกุมาร  เมื่อสญชัยกุมารได้เป็นกษัตริย์สืบสันตติวงศ์ต่อจากพระราชบิดา  ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครมเหสี  เป็นยอดนารีแห่งนครเชตุดร

เมื่อพระนางผุสดีได้เป็นเอกอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงเชตุดรแคว้นสีวีแล้ว  ก็เป็นอันว่าพร  ๑๐  ประการนั้น  สำเร็จสมปปรารถนาแล้ว  ๙  ประการ  ยังอีกประการเดียว  คือ  ประการที่  ๔  ที่ขอให้มีพระโอรสมีน้ำใจดี  รักการบริจาคทานยิ่งกว่าชีวิต  พระอินทร์จึงได้อาราธนาพระมหาสัตว์ให้เสด็จจุติลงมาถือปฏิสนธิในครรภ์ของพระนาง  พอพระนางทรงแพ้พระครรภ์  ก็มีพระประสงค์ที่จะบริจาคทานเป็นกำลัง  จึงขอให้สร้างโรงทานขนาดใหญ่ขึ้น  ๖  แห่งด้วยกัน  คือ  ที่ประตูพระนครทั้ง  ๔  ที่กลางพระนคร ๑  และที่ประตูพระราชวังอีก ๑  รวมเป็น  ๖  แห่งด้วยกัน  แล้วก็ทรงบริจาคทานแก่คนยากจนเสมอมา  จนถึงกำหนดทศมาสจะคลอด  ก็ทรงปรารถนาจะเสด็จทอดพระเนตรพระนคร   พระราชาจึงให่้ตกแต่งพระนครครั้งใหญ่โดยทั่วไป

ขณะที่พระนางเสด็จทอดพระเนตนพระนครนั้น  พอเสด็จถึงถนนเวสสวิถี  (ถนนพ่อค้า)  ก็ประสูติพระราชบุตรโดยกระทันหัน  พระราชาทรงโสมนัสยิ่งนัก  ตรัสสั่งให้ราชบุรุษถวายความอารักขาอย่างเต็มที่  พระญาติวงศ์ทั้งหลายจึงขนานพระนามพระราชบุตรนี้ว่า  "เวสสันดร"  (แปลว่า ระหว่างถนนพ่อค้า)  ในวันเดียวกันกับที่พระเวสสันดรประสูตินั้น  นางช้างเชือกหนึ่งเหาะมา  นำเอาลูกช้างเผือกล้วนมาทิ้งไว้ในโรงช้าง  ช้างเผือกล้วนนี้นับถือกันว่า  เป็นมงคลหัตถี  ประชาชนตั้งชื่อกันว่า  "ช้างปัจจยนาเคนทร์"  หมายความว่า  เกิดมาเป็นปัจจัยส่งเสริมบารมีของพระเวสสันดรกุมาร  พระราชบิดาให้พระราชทานพระนม  ๖๔  คน  ล้วนแต่มีถันไม่ย้อยยาน  รสนมหวานปราศจากโทษใด ๆ  ให้เลี้ยงดูพระกุมาร  ต่อมา
ทรงโปรดให้สร้างเครื่องประดับสำหรับพระกุมาร  มีราคาประมาณหนึ่งแสน  แล้วพระราชทานให้พระกุมาร  พอพระกุมารมีพระชนม์ได้  ๔-๕  พรรษา  ก็เปลื้องเครื่องประดับนั้นประทานแก่พระนมเสียและไม่รับคืน  พระนมทั้งหลายได้กราบทูลให้ทรงทราบ  พระราชาตรัสว่า  "ของที่บุตรเราให้แล้วก็แล้วไป"  แล้วก็ทรงสั่งให้สร้างเครื่องประดับสำรับอื่นอีก  พระกุมารก็ทรงเปลื้องถวายพระนมทั้งหลายอีก  ทรงกระทำอยู่อย่างนี้ถึง  ๙  ครั้งด้วยกัน  พอพระชันษาได้  ๘  ขวบ  ก็ทรงคุร่นคิดอยู่เสมอว่าการบริจาคทานภายนอกนี้ไม่ทำให้เราอิ่มใจเลย  เราอยากจะบริจาคทานภายในบ้าง  ถ้าใครจะมาขอแขนทั้งสองก็ดี  นัยน์ตาทั้งสองก็ดี  หรือเดือดเนื้อในร่างกายเราก็ดี  เรายินดีจะบริจากให้ทันที  หรือแม้ว่า  ใครจะมาขอเราไปเป็นทาส  เราก็พร้อมที่จะเสียสละยศศักดิ์เ็นทาสรับใช้ทันที

เมื่อพระกุมารเจริญวัยได้  ๑๖  พรรษา  ก็ทรงเรียนศิลปศาสตร์จนครบทุกสาขา  พระราชบิดามีพระราชประสงค์จะมอบราชสมบัติให้  จึงปรึกษาตกลงกันสู่ขอพระนางมัทรี  ราชธิดาของพระเจ้าลุงแห่งราช
ตระกูลมัทราชมาเป็นพระมเหสี  แล้วก็ทรงอภิเษกทั้งสองไว้ในสิริราชสมบัติสืบไป

จำเดิมแต่พระเวสสันดรทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติ  พระองค์ได้ทรงบริจาคทานทุกวัน  ต่อมาพระนางมัทรีประสูติพระราชโอรส  พระญาติทั้งหลายทรงรับด้วยข่ายทองคำ  จึงขนานพระนามว่า  "ชาลีกุมาร"  พอพระชาลีกุมารทรงดำเนินได้  ก็ประสูติราชธิดาอีกองค์หนึ่ง  พระญาติทั้งหลายทรงรับด้วยหนังหมี  จึงขนานพระนามว่า  "กัณหาชินา"  พระเวสสันดรเสด็จประทับเหนือคอช้างมงคล  ทอดพระเนตรตรวจดูโรงทานทั้ง  ๖  แห่ง  เดือนละ  ๖  ครั้ง  เป็นประจำตลอดมา

คราวนั้น  เกิดข้าวยากหมากแพงขึ้นในแคว้นกาลิงครัฐ  ฝนแล้งข้าวกล้าเสียหาย  เกิดทุพภิกขภัยขึ้นอย่างรุนแรง  พวกมนุษย์อดอยากมากเข้า  ก็เที่ยวปล้นสะดมทำโจรกรรมกันทั้วไป  ชาวชนบทจึงร้องเรียนต่อเจ้าผู้ครองแคว้นให้ช่วยเหลือ  เจ้าผู้ครองแคว้นจึงทรงรักษาอุโบสถ  ๗  วัน  เพื่อจะให้ฝนตก  เมื่อไม่ตกก็รักษาต่ออีก  ๗  วัน  ก็ยังไม่ได้ผล  หาได้มีฝนตกลงมาตามวิธีการนั้นไม่  ในที่สุดชาวนครจึงทูลแนะว่า  พระเวสสันดรแห่งนครแคว้นเชตุดรนั้น  ทรงยินดีในการให้ทานยิ่งนัก  ท้าวเธอมีช้างมงคลเผือกล้วนอยู่เชือกหนึ่ง  ถ้าช้างนี้ไปที่ใดถึงไหน  ฝนก็จะตกลงในที่นั้น ๆ  ขอให้ทรงส่งพราหมณ์ไปขอช้างนั้นมาเถิด  เจ้าแคว้นกาลิงครัฐจึงจัดส่งพราหมณ์  ๘  คนไปตามคำแนะนำนั้น


.................................


จาก   หนังสือทศชาติชาดก (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย   แปลก  สนธิรักษ์


วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดร (หน้า ๑)


เวสสันดรแบ่งออกเป็น  ๑๓  ตอน  จะได้เล่าเรื่องเป็นตอน ๆ ไป


ตอนที่ ๑  ทศพร

พระเจ้าสีวีมหาราช  กษัตริย์เมืองเชตุดร  มีพระราชโอรสทรงนามว่า  "สญชัย"  เมื่อสญชัยราชกุมารทรงเจริญวัย  พระราชบิดาได้ให้อภิเษกสมรสกับราชธิดาของกษัตริย์มัทราช  พระนามว่า  "ผุสดี"  แล้วยกราชสมบัติให้ครอบครอง  เป็นพระเจ้าสญชัยมีพระนางผุสดีเป็นเอกอัครมเหสีครองกรุงเชตุดรสืบต่อมา

พระนางผุสดีนั้น  มีเหตุการณ์ในอดีตชาติว่า  ในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน  ที่ชื่อว่า  พระวิปัสสี  พระนางได้ทรงถวายสักการบูชาแล้วอธิษฐานขอพรไว้สิบประการด้วยกัน  ซึ่งปรากฏว่าเป็นจริงสมดังอธิษฐาน  มีเรื่องเล่าไว้โดยพิสดารว่า

ในสมัยพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น  พระเจ้าพันธุมราชผู้ครองนครพันธุมดี  มีราชธิดาอยู่  ๒  พระองค์ด้วยกัน  บังเอิญมีกษัตริย์อีกนครหนึ่งทรงส่งของขวัญไปถวายพระเจ้าพันธุมราช  ๒  สิ่งด้วยกัน  คือ

๑.  พวงมาลาทำด้วยทองล้วน  (ราคา  ๑  แสน)

๒.  แก่นจันทน์หอม  (ราคามาก)

พระเจ้าพันธุมราชจึงพระราชทานแก่นจันทน์ให้แก่ราชธิดาองค์ใหญ่  พระราชทานพวงมาลาแก่ราชธิดาองค์น้อย  ราชธิดาทั้งสองจึงนำไปถวายแก่พระพุทธเจ้าวิปัสสี  เพื่อหวังผลบุญในชาติหน้าต่อไป 

วิธีถวายนั้น  พระราชธิดาองค์ใหญ่ได้ทรงบดแก่นจันทน์อันหอมนั้นให้ละเอียด  แล้วบรรจุลงผอบ  แล้วนำไปถวาย  ส่วนผงที่ยังเหลือก็นไปโปรยปรายไว้รอบ ๆ  บริเวณคันธกุฎี  เพื่อให้มีกลิ่นหอมอบอวลเป็นที่ซึ่งชื่นใจแก่คนทั่วไป  แล้วทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า  "ถ้าแม้นเกิดไปในชาติหน้า  ขอให้ได้เป็นมารดาของพระพุทธเจ้าสักองค์หนึ่งด้วยเถิด"

ฝ่ายราชธิดาองค์น้อย  เมื่อถวายพวงมาลาทองก็ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า  "ถ้าแม้นเกิดไปในชาติหน้า  ขอให้พวงมาลาทองนี้จงปรากกมีประจำทรวงหม่อมฉัน  จนกว่าจะบรรลุพระอรหันตสมจริงทุกประการ

พระราชธิดาองค์ใหญ่  ต่อมาได้ไปบังเกิดในสวรรค์  มีสรีระหอมเหมือนกลิ่นจันทน์และได้เป็นอัครมเหสีของท้าวสักกะ  เสวยความสุขอยู่ช้านาน  เมื่อตอนสุดท้ายจวนจะหมดบุญ  ท้าวสักกะจึงตรัสเตือนว่า  "น้องนางจะได้จุติไปบังเกิดในมนุษย์แล้ว  หากประสงค์จะได้พรอันใดบ้าง  ก็ให้ขอมา  จะประทานพรให้ตามใจปรารถนาทุกประการ"

พระนาง  "หม่อมฉันได้ทำบาปอันใดไว้หรือ  จึงจะได้จุติจากแดนสวรรค์นี้  ไปเกิดในมนุษย์โลก ?"

พระอินทร์  "เธอมิได้ทำบาปอันใดดอกที่รัก  แต่บุญของเธอหมดเพียงเท่านี้เอง"

พระนาง  "ถ้ากระนั้น  หม่อมฉันขอพระราชทานพรดังต่อไปนี้

            ๑.  ขอให้มีนัยน์ตาดำเป็นประกาย  เหมือนลูกตาเนื้อทราย

            ๒.  ขอให้มีขนคิ้วดำสนิท

            ๓.  ขอให้มีชื่อว่า  "ผุสดี"

            ๔.  ขอให้มีโอรสมีน้ำใจดี  รักการบริจาคทานยิ่งกว่าชีวิต

            ๕.  เมื่อเวลาตั้งครรภ์  ขออย่าให้อุทรนูนเหมือนสตรีทั่วไป

            ๖.  ขออย่าให้ถันทั้งสองหย่อนยาน

            ๗.  ขออย่าให้มีผมหงอกแม้เพียงเส้นเดียว

            ๘.  ขออย่าให้ร่างกายแปดเปื้อนธุลีละอองใด ๆ

            ๙.  ขอให้มีอำนาจช่วยปลดเปลื้องคนโทษถึงประหารให้พ้นโทษได้

           ๑๐.  ขอให้ได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าแผ่นดินในแคว้นสีวี"

พระอินทร์ได้สดับแล้วก็ทรงอนุญาติและทรงอวยพรให้สำเร็จสมปรารถนาทุกประการ


...........................


จากหนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย  แปลก  สนธิรักษ์






























วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๙ พระวิธุรบัณฑิต (หน้า ๑๐)


"ถ้ากระนั้น  พระองค์ก็ทรงทราบเรื่องกรรมและผลแห่งกรรมดี  ขอพระองค์ทรงเป็นผู้ไม่ประมาท  ประพฤติธรรมให้ได้เสด็จอยู่ครองวิมานนี้ต่อไปเถิด"

พญานาค  "ดูก่อนบัณฑิต  ในนาคภพนี้ไม่มีสมบัติสมณพราหมณ์ที่จะบำเพ็ญทานโดยเคารพเลย  เราจะประพฤติอย่างไรดี ?"

วิธุรบัณฑิต  "ในนาคพิภพนี้ไม่มีสมณพราหมณ์  แต่ก็มีนาคบริษัททั้งที่เป็นโอรส  เป็นพระชายา  เป็นญาติมิตร  และอำมาตย์ราชเสนาข้าเฝ้า  ขอพระองค์จงมีพระเมตตา  ทั้งทางกาย  ทางวาจา  ตลอดทั้งทางใจ  ไม่ทรงประทุษร้ายใครในนาคบริษัทเหล่านั้น  เช่นนี้พระองค์ก็จะได้เสด็จอยู่ในวิมานนี้ตราบสิ้นพระชนมายุ  ยิ่งกว่านั้น  ยังจะได้เสด็จสู่เทวโลกที่สูงกว่านาคพิภพนี้อีก  พระเจ้าข้า"

พญานาคพอพระทัยมาก  ตรัสถามต่อไปว่า  "ดูก่อนบัณฑิต  ปุณณกยักษ์จับตัวท่านมาได้อย่างไร ?"

วิธุรบัณฑิต  "ปุณณกยักษ์ได้ข้าพเจ้ามาด้วยชนะสกา  ข้าพเจ้าเป็นค่าพนันที่พระเจ้าธนัญชัยมอบให้มาตามข้อตกลง  พระเจ้าข้า"

พญานาครับสั่งให้พาพระนางวิมลามา  พระนางวิมลาพอทอดพระเนตรเห็นวิธุรบัณฑิตก็ประคองอัญชลีขึ้น  แล้วตรัสถามว่า  "ดูก่อนบัณฑิต  ท่านกำลังตกอยู่ในมรณภัยเช่นนี้  เหตุไฉนจึงไม่สลดใจเสียเลย  คนที่ตกเป็นเชลยเขาย่อมเศร้าโศกและหมดรัศมี  แต่ท่านดูเหมือนไม่เป็นเช่นนั้นเลย  ท่านมีดีอะหรหรือ ?"

วิธุรบัณฑิต  "คนไม่เคยทำชั่วย่อมไม่กลัวความาย  (คือจะตายเมื่อไรก็ได้)  ในเวลาเข้าที่คับขัน  ข้าพเจ้ายิ่งมีสติปัญญาฉับไวขึ้น  ข้าพเจ้ามีปัญญาเป็นของดีอยู่  พระเจ้าข้า"

พญานาคและพระนางวิมลามีความพึงพอพระทัยในปัญญาของวิธุรบัณฑิตอย่างเห็นได้ชัด  วิธุรบัณฑิตจึงทูลว่า  "บัดนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว  ขอพระองค์จงจัดการเรื่อง  'เนื้อหัวใจ'  ของข้าพเจ้าตามพระประสงค์เถิด  แต่ถ้ามีพระประสงค์จะฟังธรรมกถาของข้าพเจ้าอีก  ข้าพเจ้าจะกล่าวถวาย  พระเจ้าข้า"

"ดูก่อนบัณฑิต"  พญานาคกล่าว  "ปัญญานั่นแหละเป็นดวงใจของบัณฑิตทั้งหลาย  ข้าพเจ้าทั้งสองยินดีนักหนาในปัญญาของท่าน  จะยกนางอิรันทตีให้แก่ปุณณกยักษ์  แล้วให้ไปส่งท่านยังอินทปัตนครในวันนี้ให้จงได้"

ปุณณกยักษ์มีใจชื่นบานด้วยปีติอย่างเต็มที่  ได้นางอิรันทตีสมปรารถนา  กล่าวกับวิธุรบัณฑิตว่า  "ท่านเป็นผู้มีอุปการคุณแก่ข้าพเจ้ามาก  ข้าพเจ้าขอมอบแก้วมณีดวงนี้แก่ท่าน  และจะไปส่งท่านถึงอินทปัตนครในวันนี้ด้วย"  ว่าแล้วก็เชิญพระวิธุรบัณฑิตขึ้นนั่งบนหลังอาชาไนยตรงไปยังอินทปัตนครทันที

คืนนั้นตอนใกล้รุ่ง  พระเจ้าธนัญชัยโกรพย์แห่งอินทปัตนครทรงพระสุบินว่า  เจ้ายักษ์นุ่งผ้าแดงทัดดอกไม้แดงตนหนึ่ง  ได้นำเอาต้นไม้ต้นหนึ่งที่มันถอนเอาไปมาคืน  และปลูกลงหน้าพระราชนิเวศน์  เมื่อทรงพิจารณาดูแล้วก็ทรงสันนิษฐานได้ว่า  ต้นไม้นั้นคือวิธุรบัณฑิต  และเชื่อว่า  วันนี้จะต้องมีคนนำเอาวิธุรบัณฑิตมาส่งคืนเป็นแน่  จึงรับสั่งให้ประดับตกแต่งพระนครจัดแจงโรงธรรมสภาเพื่อต้อนรับ  แล้วพระองค์ก็เสด็จสู่โรงธรรมสภา  ตรัสกับประชาชนว่า  "ท่านทั้งหลายจักได้เห็นวิธุรบัณฑิตกลับมาวันนี้แน่นอน"  ซึ่งขณะนั้น  ปุณณกยักษ์ก็ได้นำพระวิธุรบัณฑิตมาถึงประตูพอดี  มอบพระวิธุรบัณฑิตเรียบร้อยแล้ว  ปุณณกยักษ์ก็พานางอิรันทตีกลับทันที

พระราชาและประชาชนต้อนรับด้วยความดีใจยิ่ง  พระวิธุรบัณฑิตได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังโดยตลอด  ทุกคนฟังด้วยความตื่นเต้น  ในที่สุดพระเจ้าธนัญชัยรับสั่งให้ทำการฉลองต้อนรับเป็นเวลาหนึ่งเดือน  ให้ปล่อยนักโทษ  ปล่อยสัตว์สองเท้าสี่เท้าที่จำขังไว้ทั้งหมด  ให้ชาวประชาทุกคนประสบความรื่นเริงสำราญทั่วหน้าอย่างเต็มที่ตามควรแก่อัธยาศัยของตน ๆ

พระวิธุรบัณฑิตก็ได้แสดงธรรมแก่มหาชนและพระราชาตลอดมา  จนสิ้นชีวิตแล้ว  ต่างก็ไปตามยถากรรมของตน ๆ

เรื่องนี้เก็บความจากวิธุรชาดก  คติธรรมที่ได้จากเรื่องนี้  คือ

ความดีชนะความชั่ว  
หลักธรรมของข้าราชการ 


.........................



จาก  หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย  แปลก  สนธิรักษ์

























วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๙ พระวิธุรบัณฑิต (หน้า ๙)

 
ปุณณกยักษ์คิดว่า  วิธุรบัณฑิตนี้แสดงธรรมไพเราะจับใจนัก  เราควรฟังดูก่อน  จึงถามว่า  "ท่านจะแสดงธรรมว่าด้วยเรื่องอะไร ?"

"เราจะแสดงธรรมชื่อ 'สาธุนรธรรม'  (ธรรมของคนดี)  ซึ่งยังไม่เคยมีใครแสดงมาก่อนทั้งในหมู่มนุษย์และเทวดา  ท่านจงให้โอกาสแก่เราสิ"

ปุณณกยักษ์วางพระวิธุระลง  ให้อาบน้ำชำระกาย  ให้แต่งกายด้วยผ้าอันเป็นทิพย์  จนเป็นที่สบายดีแล้ว  พระวิธุระจึงแสดงสาธุนรธรรมว่า  "ดูก่อน  มาณพ  สาธุนรธรรม  ก็คือ  ธรรมของคนดี  คนดีย่อมปฏิบัติธรรม  ๔  ประการด้วยกัน  คือ

             ๑.  เดินตามทางที่ท่านเดินไปแล้ว

             ๒.  อย่าเผาฝ่ามือที่ชุ่มเสีย

             ๓.  อย่าประทุษร้ายมิตรไม่ว่าในกาลไหน ๆ

             ๔.  อย่าตกอยู่ในอำนาจของพวก "อสตรี"

ปุณณยักษ์ฟังแล้วไม่เข้าใจความหมายเลย  จึงขอให้วิธุรบัณฑิตอธิบายเป็นข้อ ๆ

พระวิธุระจึงอธิบายให้ฟังเป็นข้อ ๆ  ไปดังต่อไปนี้

"บุคคลผู้มีอุปการคุณ  หรือผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้ก่อน  ชื่อว่า  เป็นผู้เดินไปข้างหน้า  ผู้ที่รู้สึกบุญคุณท่านแล้วกระทำประโยชน์ตอบแทน  ชื่อว่า  เป็นผู้เดินตามหลัง,  ผู้ไม่คิดร้ายต่อผู้มีอุปการคุณโดยให้ข้าวให้น้ำ  และที่พักแม้เพียงคืนเดียว  ผู้นั้นชื่อว่า  ไม่เผาฝ่ามืออันชุ่มเสีย,  และยังได้ชื่อว่า  ไม่ประทุษร้ายมิตร  เพราะตามธรรมดาของคนดีนั้น  แม้แต่ต้นไม้ที่เคยได้อาศัยร่มเงาก็ไม่ยอมหักก้านรานกิ่งเสีย  คนประทุษร้ายมิตรนั้นจัดว่าชั่วช้าสามานย์นัก,  อนึ่ง  หญิงใดได้รับการยกย่องอย่างดีจากสามีแล้ว  เมื่อมีโอกาสยังอาจดูหมิ่นสามีได้  หญิงนั้นก็ชื่อว่า  'อสตรี ' (ไม่ใช่กุลสตรี)

"ดก่อนมาณพ  ธรรม  ๔  ประการนี้แลชื่อว่า "สาธุนรธรรม"  คือ  ธรรมของคนดี  ท่านจงตั้งอยู่ในธรรมนี้เถิด  และจงละอธรรม  คือความชั่วเสียแต่บัดนี้"

ปุณณกยักษ์ฟังแล้วรู้สึกในความผิดของตนได้ว่า  แท้จริงวิธุรบัณฑิตนี้เป็นผู้มีอุปการคุณแก่เรา  เคยให้ข้าวให้น้ำที่พักอาศัยแก่เรา  การที่เราทำกรรมชั่วครั้งนี้  ก็เพราะความปรารถนาหญิงคนหนึ่งเท่านั้น  จัดว่าไม่ได้ประพฤติ  "สาธุนรธรรม"  โดยคิดพลาด  ถอนใจด้วยความสำนึก  ในที่สุดจึงตัดสินใจว่า  ประโยชน์อะไรกับผู้หญิงคนหนึ่ง  เราจะกลับไปเช็ดหน้านองน้ำตาของชนชาวอินทปัตนครให้เบิกบาน  โดยนำวิธุรบัณฑิตนี้ไปส่งที่โรงธรรมสภาโดยเร็วที่สุด  จึงกล่าวว่า

"ท่านบัณฑิตผู้มีปัญญาสูง  เชิญท่านกลับเรือนของท่านเถิด  เราไม่ต้องการจะได้นางอิรันทตีแล้ว  ท่านกล่าวถ้อยคำเป็นสุภาษิตเตือนใจเราดียิ่งนัก  เราไม่ฆ่าท่านล่ะ"

"อย่าเลยมาณพ  นำข้าพเจ้าไปให้ถึงนครพิภพเถอะ  ข้าพเจ้าอยากเห็นพญานาคและทิพยสมบัติในนาคพิภพ  จงประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าเถิด"  วิธุรบัณฑิตกล่าว

ปุณณยักษ์ไม่อาจขัดความประสงส์ของพระวิธุระผู้มีอุปการะได้  จึงกล่าวด้วยความสงสัยว่า  "ธรรมดาผู้มีปัญญา  รู้ว่าสิ่งใดเป็นข้าศึก  ย่อมไม่ปรารถนาจะเห็นสิ่งนั้น  เพราะเหตุใดเล่าท่านจึงปรารถนาจะไปสำนักของพญานาคผู้ต้องการดวงหทัยของท่าน"

พระวิธุระตอบว่า  "ดูก่อนปุณณกยักษ์  เป็นความจริงเช่นนั้น  แต่สำหรับข้าพเจ้าไม่ได้ทำความชั่วไว้ในที่ไหน ๆ  เลย  จึงไม่รู้สึกกลัวความตายจะมาถึงเมื่อไร  อนึ่ง  ท่านเป็นผู้กล้าแข็งอย่างนี้  ข้าพเจ้ายังเล้าโลมให้อ่อนลงได้ด้วยธรรมกถา  สำหรับพญานาคนั้นก็คงไม่มีอะไรยาก  เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าเองที่จะเล้าโลมให้อ่อนโยน  ท่านจงพาข้าพเจ้าไปเถอะ"

ปุณณกยักษ์จึงให้พระวิธุระขึ้นหลังม้าอาชาไนย  พาตรงไปยังนาคพิภพทันที

พญานาคเห็นปุณณกยักษ์กลับมา  จึงตรัสทักทายก่อนว่า  "เจ้าไปมนุษยโลกมา  ได้หัวใจของวิธุรบัณฑิตหรือไม่  หรือว่าเอาตัวมาได้เลย ?"

ปุณณกยักษ์  "เอาตัวมาเลย  พระเจ้าข้า  วิธุรบัณฑิตผู้แสดงธรรมไพเราะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์บัดนี้แล้ว  ขอพระองค์จงทราบเถิดว่า  การสมาคมกับสัตบุรุษเป็นเหตุนำมาซึ่งความเจริญ  พระเจ้าข้า"

พญานาคทอดพระเนตรเห็นพระวิธุระแล้ว  ตรัสถามว่า  "ดูก่อนบัณฑิต  ท่านถูกนำมายังนาคพิภพนี้  ก็นับว่าตกอยู่ในอุ้งมือของมฤตยูแล้ว  เหตุไรท่านจึงไม่กลัวและไม่ถวายความเคารพข้าพเจ้า ?  อาการที่ทำเช่นนี้  ไม่ใช่อาการของคนมีปัญญาเลย"

พระวิธุระตอบว่า  "ข้าพเจ้าไม่ถวายบังคมพระองค์  เพราะข้าพเจ้าเป็นเสมือนนักโทษที่กำลังจะถูกฆ่า  พระองค์เป็นเสมือนเพชฌฆาต  นักโทษไม่ต้องกราบไหว้เพชฌฆาต  เพชฌฆาตก็ไม่พึงบังคับให้นักโทษกราบไหว้  เพราะจะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย  การกราบไหว์ระหว่างเราหมดความหมายจริง ๆ "

พระวิธุรเห็นพญานาคคล้อยตาม  จึงซักถามว่า  "ข้าแต่พญานาค  วิมานนี้ก็ดี  ความมีฤทธิ์ก็ดี  รัศมีอันรํุงเรืองและทิพยสมบัติทั้งหมดนี้ก็ดี  พระองค์ได้มาอย่างไร  เกิดมีขึ้นมาตามฤดูกาล  หรือใครให้  ทรงสร้างเองหรือเทวดาเนรมิตถวาย  พระเจ้าข้า ?"

"ดูก่อนบัณฑิต  เราได้มาด้วยผลบุญของเราเอง"  พญานาคตอบ

"พระองค์ทำบุญอันใดไว้ ?"  วิธุรบัณฑิตถาม

"ดูก่อนบัณฑิต  เราได้ถวายทานให้อาหารที่อยู่อาศัยแก่สมณพราหมณ์ในสมัยยังเป็นกุฎุมพีอยู่ในเมืองมนุษย์  เราถวายทานโดยเคารพ  จึงได้ทิพยสมบัติเห็นปานนี้"  พญานาคตรัสอย่างปีติในผลบุญที่ตนได้รับ


..............................

(ยังมีต่ออีก)