พราหมณ์ทั้ง ๘ คนนั้น ได้ไปยังนครเชตุดร คอยดักพบพระเวสสันดรเวลาทรงช้างมงคลออกตรวจดูโรงทานตามประตูเมืองทิศต่าง ๆ พอพบพระเวสสันดรเสด็จมา ก็ประคองแขนขึ้นเป็นการแสดงถึงการขอ พระเวสสันดรจึงทรงขับช้างเข้าไปใกล้แล้วตรัสถาม พอทรงทราบความประสงค์แล้ว พระองค์ทรงดำริว่า "เราได้ตั้งใจอยู่พร้อมแล้วว่า จะบริจาคแม้กระทั่งชีวิตและเลือดเนื้อที่เรียกว่า ทานภายใน แต่ที่พราหมณ์นี้ขอก็คือช้างมงคลซึ่งเป็นเพียงทานภายนอกเท่านั้น ทำไมเราจะให้ไม่ได้เล่า" ดำริแล้วเสด็จลงจากคอช้าง เรียกพรหมณ์เข้ามาใกล้ ๆ แล้วทรงจับงวงช้างวางลงบนมือพราหมณ์ แล้วทรงหยิบคนโทน้ำหลั่งลงเป็นการแสดงว่า ได้ประทานช้างให้แล้ว พร้อมทั้งเครื่องประดับช้างอันประกอบด้วยแก้วแหวนเงินทองราคาหลายแสน
เมื่อการพระราชทานช้างเสร็จลงแล้ว ก็เกิดแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนไปทั่ว ชาวพระนครโจษจันกันด้วยความเสียดายอย่างที่สุด เลยก่อการกำเริบขึ้น เขาได้พากันไปกราบทูลพระเจ้ากรุงสญชัยให้ทรงทราบ พระเจ้ากรุงสญชัยทรงสำคัญว่า ชาวนครจะให้ทรงฆ่าพระเวสสันดรเสีย จึงตรัสแก่ประชาชนชาวนครว่า "พระเวสสันดรเป็นบุตรสุดที่รัก เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเรา เป็นสิ่งเดียวที่เรามีอยู่ในชีวิตนี้ เราจะฆ่าเสียได้อย่างไรกัน อนึ่งเล่า พระเวสสันดรเป็นผู้มีศีลประเสริฐสุด การบริจาคทานทั้งปวงไม่ใช่เป็นความผิดคิดร้ายอย่างไร ไฉนจะให้ฆ่าเสียด้วยเหตุผลอันใด"
ชาวนคร "ไม่ต้องถึงกับฆ่าดอก พระเจ้าข้า แต่ว่าการบริจาคทานอย่างนี้ วันหนึ่งจะทำให้บ้านเมืองพินาศหมดสิ้น ขอให้พระองค์จงทรงเนรเทศออกไปเสียจากนครสีพีนี้เถิด พระเจ้าข้า"
พระเจ้าสญชัย "ถ้าชาวนครประสงค์อย่างนั้น เราก็ไม่ขัดข้อง ก็แต่ว่าขอให้พระราชบุตรของเราได้มีโอกาสพักผ่อนอยู่ในพระนครนี้สักราตรีก่อนเถิด ต่อพรุ่งนี้จึงจะให้เสด็จออกจากพระนครไป"
ชาวนครได้ฟังดังนั้นก็พอใจ ต่างทยอยกันกลับเคหสถานของตน พระเจ้าสญชัยจึงตรัสเรียกนายนักการมา แล้วให้ไปตามพระเวสสันดรมาเฝ้า
นายนักการนั้น เข้าไปกราบทูลพระเวสสันดรให้ทรงทราบด้วยความเคารพอย่างที่สุด
นายนักการ "ขอพระองค์ได้ทรงโปรดเถิด ข้าพระบาทจะทูลความทุกข์ให้พระองค์ทราบ ขอพระองค์อย่าได้ทรงโกรธแก่ข้าพระบาทเลย"
พระเวสสันดร "มีอะไรก็ว่าไปเถอะ เราจะให้อภัยแก่ท่าน"
นายนักการ "ชาวนครทั้งหลายได้มาประชุมกันที่พระลานหลวง เพราะมีความโกรธแค้นที่พระองค์ทรงประทานช้างมงคลแก่พราหมณ์กาลิงครัฐไป ได้ขอให้พระเจ้าสญชัยเนรเทศพระองค์เสียจากพระนคร พระเจ้าข้า"
พระเวสสันดร "ทานที่เราให้ไปนั้น จะเป็นช้างก็ดี หรือเครื่องเพชรนิลจินดาที่ประดับช้างก็ดี หรือจะเป็นแก้วมณี แก้วไพฑูรย์ และแก้วมุกดาก็ดี แม้จะมีค่ามากมายสักเพียงใดก็ตาม ก็เป็นเพียงทานภายนอกเท่านั้น แต่ทานภายใน เช่น ลูกตา ขา แขน ตลอดจนเลือดเนื้อและดวงหทัย แม้ว่ายาจกมาขอเราก็ยินดีบริจาคให้ไม่หวั่นไหว เอาเถอะ แม้ว่าชาวนครสีพีนี้จะฆ่าเราก็ตาม จะตัดเราเป็น ๗ ท่านก็ตาม จะทำให้เรางดการให้ทานเสียมิได้เลย"
นายนักการทูลแนะนำว่า "ขอพระองค์จงเสด็จไปอารัญชรคีรี ทางฝั่งแม่น้ำโกนติมารา พระเจ้าแผ่นดินที่ถูกเนรเทศจะเสด็จไปทางนี้ พระเจ้าข้า"
พระเวสสันดร "ดีแล้ว เราจะไปตามทางของพระเจ้าแผ่นดินที่ถูกเนรเทศ แต่ว่าขอให้ชาวนครจงให้โอกาสแก่เราอีกสักวันหนึ่งเถอะ เราอยากจะให้ทานอีกสักวันหนึ่ง ในวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เราจึงจะไป"
นายนักการรับพระดำรัสแล้วก็ทูลลากลับไป เพื่อแจ้งให้พระเจ้าสญชัยและชาวนครทราบทั่วกัน
เมื่อนายนักการหลีกไปแล้ว พระเวสสันดรก็ตรัสเรียกประชุมเสนาผู้ใหญ่ แล้วตรัสว่า "พรุ่งนี้เราจะให้ทานเป็นหมวด หมวดละ ๗๐๐ เช่น ช้าง ๗๐๐ ม้า ๗๐๐ รถ ๗๐๐ โคนม ๗๐๐ เป็นต้น ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "สัตสดกมหาทาน" ขอให้ท่านจงจัดสิ่งของทั้งปวงไว้ให้ถูกต้องเรียบร้อยทุกอย่าง ๆ แม้กระทั่งสุราซึ่งเป็นของไม่ควร ก็ขอให้จัดไว้ด้วย"
ตรัสสั่งเสร็จแล้วก็ให้เลิกประชุม แล้วเสด็จเข้าพบพระนางมัทรีเป็นการส่วนพระองค์
พระเวสสันดร "ที่รัก ทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทอง ทั้งที่เป็นของที่พี่ให้และะที่พระราชบิดาของเธอให้มานั้น เธอเก็บรักษาไว้ดีแล้วหรือ ?"
พระนางมัทรี "หม่อมฉันเก็บไว้เรียบร้อยทั้งหมดแล้ว เพคะ"
พระเวสสันดร "ดีแล้วน้องรัก แต่พี่เห็นว่า การเก็บรักษาไว้เช่นนั้นยังหาได้ชื่อว่าเก็บไว้ดีแล้วโดยแท้จริงไม่"
พระนางมัทรี "พระองค์จะทรงให้หม่อมฉันเก็บไว้ที่ไหน เพคะ ?"
พระเวสสันดร "น้องควรนำมาบริจาคเป็นทานให้เป็นประโยชน์แก่คนยากจนดีกว่า การเก็บไว้เฉย ๆ เช่นนั้น เป็นการทำของที่มีประโยชน์ให้ไร้ประโยชน์ ไม่มีความหมายอะไรยิ่งกว่าก้อนหินกรวดที่ฝังอยู่ในดินเลย เพราะว่าที่พึ่งอันแท้จริงของสัตว์ทั้งหลาย คือ การบริจาคทาน"
พระนางมัทรี "ดีละเพคะ หม่อมฉันจะทำทานด้วย"
พระเวสสันดร "แม่มัทรีน้องรัก ต่อไปนี้ขอให้เธอจงมีความเอ็นดูกรุณาบุตรทั้ง ๒ ให้มาก ตลอดถึงพระบิดามารดาของพี่ด้วย ถ้าจะมีผู้ใดมาตกลงเป็นภัสดาของเธอ ก็ขอให้เธอจงปฏิบัติผู้นั้นโดยเคารพ หรือถ้าไม่มีใครมาตกลง พี่ก็อนุญาตให้เธอแสวงหาภัสดาใหม่ได้ เพราะเธอกับพี่จะต้องแยกจากกันแล้ว เธออย่าต้องลำบากเพราะการจากพี่เลย"
พระนางมัทรี "ข้าแต่พระทูลกระหม่อมแก้ว ไฉนพระองค์จึงตรัสเรื่องไม่สมควรเช่นนี้เล่า เพคะ"
พระเวสสันดรจึงตรัสเล่าเรื่องชาวนครโกรธแค้นจนให้เนรเทศพระองค์ให้พระนางมัทรีทรงทราบ "มะรืนนี้ พี่ก็จะต้องออกจากพระนครแล้ว ชีวิตคนเดียวของพี่ในป่าหิมพานต์นั้นเป็นที่น่าสงสัยอยู่"
พระนางมัทรี "ข้าแต่ขัตติยราช หม่อมฉันจะขอตามเสด็จไปด้วย ระหว่างการไปตายกับพระองค์กับการมีชีวิตอยู่โดยปราศจากพระองค์ หม่อมฉันขอเลือกเอาการไปตายกับพระองค์ ชีวิตนี้ขาดพระองค์เสียแล้วก็หมดความหมาย เพคะ"
พระเวสสันดร "อย่าเลยที่รัก ชาวนครประสงค์ให้เนรเทศพี่คนเดียว ส่วนพระน้องนั้นไม่มีความผิดอันใด ไม่ควรที่จะต้องพลอยไปได้รับความลำบากระหกระเหินกับพี่ด้วย ข้อสำคัญก็คือพระน้องจะต้องดูแลบุตรทั้งสองที่น่ารักของเรา เธอจะทอดทิ้งบุตรไปกับพี่ได้อย่างไรกัน"
พระนางมัทรี "ภรรยาที่ดีจะต้องยินดีรับทุกข์รับสุขร่วมกับสามีเหมือนคนคนเดียวกัน หม่อมฉันจะพาบุตรทั้งสองไปด้วย ขอพระองค์อย่าทรงปริวิตกเลย"
พระนางมัทรีได้วาดภาพป่าหิมพานต์ให้พระเวสสันดรฟังอย่างน่ารื่นรมย์ว่า
"กุมารทั้งสองของเรากำลังน่ารัก มีเสียงไพเราะ นั่งเล่นเจรจาอยู่ตามพุ่มไม้ในป่าใกล้ ๆ อาศรม จะช่วยให้พระองค์ไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ"
"เมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรกุมารทั้งสองของเรา ทรงประดับดอกไม้ป่า ฟ้อนรำรื่นเริงอยู่ในบริเวณอาศรม ก็จะทำให้ลืมราชสมบัติเสียได้"
"ป่าหิมพานต์นั้น มีฝูงช้างไพรท่องเที่ยวไปมา ส่งเสียงร้องก้องโกญจนาท เกลื่อนกล่นด้วยสัตว์ป่านานาชนิด มีนางกินรีฟ้อนรำ ขับเพลงประสานเสียงน้ำตกอยู่เสมอ ประกอบด้วยเสียงนกเค้า เสียงราชสีห์ เสือโคร่ง แรด กวาง วัวลาน ร้องประสานรับกันเป็นระยะ ๆ มีพญานกยูงแวดล้อมด้วยนางนกยูงรูปงามขนสีสวยอยู่เป็นหมู่ ๆ มีต้นไม้ต่าง ๆ บ้างก็ออกดอกเบ่งบานสะพรั่ง ต่างสีต่างสวยส่งกลิ่นตลบ บ้างก็มีลูกห้อยระย้าเต็มต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่จะพาให้รื่นรมย์ ลืมราชสมบัติและความบรมสุขในพระนครเสียได้"
พระนางมัทรีได้พรรณนาป่าหิมพานต์ให้พระเวสสันดรฟัง อย่างน่ารื่นรมย์ ราวกะว่าพระนางได้เคยทอดพระเนตรมาแล้ว ฉะนั้น
.................................
จาก...หนังสือทศชาติชาดก (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย...แปลก สนธิรักษ์