วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๔๕)


มโหสธกลับมิถิลานคร

เมื่อมโหสธเข้าไปเฝ้าพระเจ้าจุลนี  เพื่อทูลลากลับมิถิลานคร  พระเจ้าจุลนีได้พระราชทานทอง  ๑,๐๐๐ ลิ่ม  บ้านส่วย  ๘๐ หลัง  ทาสหญิง  ๔๐๐  คน  ภรรยา  ๑๐๐  คน  กับฝากทาสชายหญิง  โค  กระบือและเครื่องประดับ  อีกทั้งเงินทอง  ช้าง  ม้า  รถ  ไปพระราชทานแก่ราชธิดาเป็นของขวัญเนื่องในการอภิเษกสมรสกับพระเจ้าวิเทหราช  กับทรงขอร้องให้มโหสธส่งพระราชชนนี  พระมเหสีและราชบุตรกลับคืนอุตรปัญจาลนครด้วย

มโหสธได้ออกเดินทางพร้อมด้วยขบวนนอันยิ่งใหญ่  จนกระทั่งถึงเขตวิเทหรัฐ

พระเจ้าวิเทหราชประทับอยู่บนพื้นปราสาท  ทอดพระเนตรออกไปทางช่องพระแกล  เห็นกองทัพใหญ่ ทรงรำพึงว่า  "เสนาของมโหสธมีอยู่นิดหน่อย  แต่ที่มากันครั้งนี้ปรากฏว่ามากมายเหลือเกิน  เห็นจะเป็น
กองทัพพระเจ้าจุลนียกมากระมัง"  จึงตรัสถามอาจารย์ทั้ง  ๔  ว่า  "พวกท่านจงมาดูโน่น  มีกองทัพช้าง กองทัพม้า  กองทัพรถ  กองทัพราบยกมามากมาย  เป็นกองทัพของใคร ?"

เสนกะกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์   มิใช่เป็นกองทัพของใครที่ไหนดอกพรเจ้าข้า  เป็นกองทัพ
ของมโหสธบัณฑิตนั่นเอง  มโหสธกำลังนำหน้ากองทัพเหล่านั้นตรงมาแล้ว  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรไปอีกครั้ง  ก็ทรงเห็นมโหสธจริง ๆ  ทรงโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง  รับสั่งให้ประชาชนชาวเมืองทำการต้อนรับเป็นเกียรติแก่มโหสธ

มโหสธมุ่งหน้าตรงเข้าสู่มิถิลานคร  เข้าไปยังราชสำนัก  ถวายบังคมพระเจ้ากรุงมิถิลา

พระเจ้าวิเทหราชเสด็จุกต้อนรับสวมกอดมโหสธ   ตรัสว่า

"พ่อมโหสธ  พ่อกลับมาได้โดยปลอดภัย  พร้อมกับ
นำกองทัพมหึมามาด้วยเช่นนี้  เพราะอะไร  เล่าให้พ่อ
ฟังหน่อยเถิด"


มโหสธกราบทูลว่า

"ข้าแต่พระจอมวิเทหรัฐ  ข้าพระพุทธเจ้ากลับมาโดย
สวัสดิภาพครั้งนี้  ก็เพราะข้าพระพุทธเจ้าใช้ปัญญา
ความคิดอันลึกซึ้งสุขุมปัดเป่าอุปสรรคนานาประการ
ให้หมดสิ้นไปด้วยตนเอง

อนึ่ง  ข้าพระพุทธเจ้ายังได้รับพระราชทานรางวัล
จากพระเจ้าจุลนีอีกมากมาย  มีทอง  ๑,๐๐๐  ลิ่ม
บ้านส่วย  ๘๐  หลัง  ทาสหญิง  ๔๐๐  คน  ภรรยา  ๑๐๐  คน
ข้าพระองค์ได้นำมานคราวนี้ทั้งหมด"


พระเจ้าวิเทหราชทรงปลื้มพระทัย  หันไปตรักะเสนกะว่า

"แน่ะเสนกะ  การอยู่ร่วมกับบัณฑิตเป็นสุขดีจริง
มโหสธ  ได้ปลดเปลื้องเราจากมหันตภัย  ดุจปล่อย
นกออกจากกรงหรือปล่อยปลาออกจากแห  ฉะนั้น"

เสนกะกราบทูลรับสนองพระราชดำรัสว่า  ไเป็นความจริง พระเจ้าข้า"

พระเจ้าวิเทหราชรับสั่งให้ตีกลองร้องประกาศไปในพระนครว่า  "ขอให้ชาวพระนครจงเล่นมหรสพสมโภชมโหสธตลอด  ๗  วัน


...................................


จาก  หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย  แปลก  สนธิรักษ์












วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๔๔)



พระจุลนีขอให้มโหสธอยู่กับพระองค

วันหนึ่ง  พระเจ้าจุลนีรับส่งกะมโหสธว่า  "ท่านบัณฑิต  ขอให้ท่านอยู่รับราชการกับเราที่นี่เถิด  เราจะให้ทุกสิ่งที่ท่านต้องการ"

มโหสธกราบทูลว่า  

"ข้าแต่บรมกษัตริย์  บุคคลใดละท่านผู้มีอุปการคุณ

แก่ตนมาก่อน  เพราะเห็นแก่ทรัพย์และยศ  บุคคลนั้น

ย่อมได้รับการติเตียนจากตนเองและจากผู้อื่น

พระเจ้าวิเทหราชยังมีพระชนม์อยู่ตราบใด  ตราบนั้น

ข้าพระพุทธเจ้าจะไม่ขอไปอยู่ที่อื่น  และกับพระราชาองค์อื่น"


พระเจ้าจุลนีเมื่อไม่สามารถจะขอร้องให้มโหสธมาอยู่กับพระองค์ได้  เพราะพระเจ้าวิเทหราชยังทรงพระชนม์อยู่  จึงตรัสว่า  "ถ้าเช่นนั้น  ขอให้เจ้ามาอยู่กับเราในเมื่อพระราชาของเจ้าสิ้นพระชนม์แล้ว"


...............................


จากหนังสือ  ทศชาติชาดก (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย  แปลก  สนธิรักษ์

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๔๓)

มโหสธเผยความลับ

มโหสธนั่งอยู่บนพลับพลากับพระเจ้าจุลนี  เห็นพระราชา  ๑๐๑  มากล่าวคำขอบคุณเชนนั้น  จึงกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระราชาทั้งหลาย  พระองค์ทั้ง ๑๐๑  มิได้รอดพระชนม์เพราะข้าพระองค์ช่วยไว้แต่เพียงครั้งนี้เท่านั้น  ได้เคยช่วยมาก่อนแล้ว  พระเจ้าข้า"

พระราชาเหล่านั้นต่างทรงสนเทห์ว่า  มโหสธได้เคยช่วยเหลือไว้ตั้งแต่เมื่อไร  จึงตรัสถามว่า  "ท่านบัณฑิต  ท่านช่วยชีวิตพวกเราไว้เมื่อไร  บอกมาซิ ?"

มโหสธกราบทูลว่า  "พระองค์ทั้ง  ๑๐๑  ยังทรงจำได้หรือไม่  เมื่อครั้งพระเจ้าจุลนียึดราชสมบัติของพระองค์ทั้งหลายได้แล้ว  พาพระองค์ทั้ง  ๑๐๑  มาอุตรปัญจาลนคร  จัดแจงตั้งสุราไว้มากมายในสวนหลวง  หวังจะทำพิธีดื่มชัยบาน"

พระราชาเหล่านั้นรับว่า  "จำได้และยังจำได้ว่า  ท่านนำทหารมาทำลายพิธีนั้นอีกด้วย"

มโหสธกราบทูลว่า  "นั่นแหละพระเจ้าข้า  ที่ข้าพระพุทธเจ้าช่วยพระชนม์ของพระองค์ทั้งหมดไว้"

พระราชาเหล่านั้นตรัสถามว่า  "เรื่องเป็นอย่างไร  บัณฑิต  เชิญเล่าไปเถิด"

มโหสธกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  พระเจ้าจุลนีกับเกวัฏคิดจะปลงพระชนม์พระองค์ทั้งหมดด้วยสุราเจือยาพิษที่จัดไว้  ข้าพระพุทธองค์ได้ทราบความนี้จากทูตทหารที่วางไว้ในเมืองปัญจาละนี้  จึงคิดว่า  เมื่อเรายังมีชีวิตอยู  ไม่ควรที่จะให้พระองค์ทั้งหลายต้องสิ้นพระชนม์ลง  เพราะความร้ายกาจของผู้ต้นคิดนี้เลย  เมื่อคิดดังนี้แล้ว  ข้าพระองค์จึงนำทหารมาให้ทำลายภาชนะเสียหมด  พระองค์ทั้งหลายก็มิได้ทรงดื่มสุราเหล่านั้น  จึงรอดพระชนม์อยู่ได้  เรื่องราวเป็นมาดังนี้แหละ  พระเจ้าขา"

พระราชาเหล่านั้น  เมื่อได้สดับคำของมโหสธ  ต่างก็สะดุ้งพระทัยหวาดเสียว  พระพักตร์เศร้า  กราบทูลถามพระเจ้าจุลนีว่า  "ขอเดชะ  ตามที่มโหสธพูดมานั้น  เป็นความจริงหรือไม่  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าจุลนีตรัสว่า  "ที่ทำไปดังนั้น  เพราะเชื่อเกวัฏปุโรหิต  มโหสธพูดถูกแล้ว"

พระราชาเหล่านั้นต่างสวมกอดมโหสธ  แล้วตรัสว่า  "ท่านบัณฑิต   ท่านได้ช่วยชีวิตของพวกเราให้รอดมา  นับว่าท่านได้มีบุญคุณแก่พวกเรายิ่งนัก"  แล้วถอดราชาภรณ์บูชามโหสธ

มโหสธเห็หนพระเจ้าจุลนีมีพระพักตร์เศร้าหมอง  เพราะตนได้เปิดเผยความจริงให้ปรากฏแก่พระราชาเหล่านั้น  จึงกราบทูลให้ทรงหายพระวิตกว่า  "ข้าแต่มหาราช  พระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกไปเลย  เรื่องที่พระองค์ทรงทำไปนั้น  ก็เพราะโทษของการส้องเสพด้วยมิตรลามกนั้นเอง  ขอพระองค์ทรงให้พระราชาเหล่านั้นอโหสิเรื่องที่ล่วงมาแล้วเสียเถิด"

พระเจ้าจุลนีรับสั่งกับพระราชาเหล่านั้นว่า  "ข้าพเจ้าได้ทำกรรมชั่วไปในครั้งนั้น  ก็เพราะอาศัยคนชั่วนั้น เป็นความผิดของข้าพเจ้า  ขอท่านทั้งหลายจงอโหสิแก่ข้าพเจ้าเถิด  ข้าพเจ้าจักไม่ทำกรรมเช่นนี้อีก"

พระราชาเหล่านั้นต่างก็ทูลอโหสิแก่พระเจ้าจุลนี  แล้วแสดงความยินดีชื่นชมต่อกัน

พระเจ้าจุลนีจัดให้มีการเลี้ยงดู  มีดนตรี  มหรสพ  ภายในอุโมงค์นั้นเป็นเวลา  ๗  วัน  แล้วเสด็จเข้าสู่พระนคร


.....................................


จากหนังสิอ   ทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย  แปลก  สนนธิรักษ์











วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๔๒)


มโหสธขู่พระเจ้าจุลนี

มโหสธเมื่อเห็นพระเจ้าจุลนีเสด็จออกจากอุโมงค์  จึงรีบตามออกมาบ้าง  แล้วปิดประตูอุโมงค์เหยียบสลักยนต์  ประตูทั้งหมดตลอดโคมประทีปก็ปิดพร้อมกัน

มโหสธคุ้ยดาบที่ตนฝังไว้เมื่อวันก่อน  หยิบขึ้นมา  โดดเข้าจับพระหัตถ์พระเจ้าจุลนี  เงื้อดาบตั้งท่าจะฟาดฟันบั่นเศียรพระเจ้าจุลนีให้ทรงตกพระทัย  แล้วทูลถามว่า  "ข้าแต่พระองค์  ราชสมบัติในสกลชมพูทีปเป็นของใคร ?"

พระเจ้าจุลนีตรัสอย่่างเลื่อนลอยว่า  "เป็นของเจ้า  เจ้าจงอภัยแก่เราเถิด  เราไม่ต้องการราชสมบัติ  ขอแต่ชีวิตไว้เท่านั้น"

มโหสธเห็นพระเจ้าจุลนีทรงหมดขัตติยมานะอย่างสิ้นเชิงแล้ว  จึงตรงเข้าไปกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์ ขอพระองค์อย่าได้ทรงตกพระทัยไปลย  ข้าพระพุทธเจ้าไม่ปลงพระชน์ของพระองค์แล้ว  ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายดาบนี้แด่พระองค์"  ทูลแล้วมโหสธก็ถวายดาบต่อพระหัตถ์พระเจ้าจุลนี  แล้วกราบทูลต่อไปว่า  "ขอเดชะ  หากพระองค์ทรงปรารถนาจะฆ่าพระองค์  ก็ขอให้ทรงฆ่าด้วยดาบเล่มนี้  แต่ถ้าทรงปรารถนาจะพระราชทานอภัย  ก็ขอได้ทรงพระราชทานอภัยเถิด  พระเจ้าข้า"

พระเจ้าจุลนีทรงเห็นใจมโหสธมากที่ถวายดาบแด่พระองค์  จึงตรัสว่า  "ดูก่อนมโหสธบัณฑิต  เราให้อภัยแก่เจ้า  เจ้าจงลุกขึ้นมาเถิด"

พระเจ้าจุลนีกับมโหสธ  ต่างก็จับดาบกระทำสัตย์ปฏิญาณสาบานว่า  จะไม่ประทุษร้ายต่อกัน

พระเจ้าจุลนีจรัสกะมโหสธว่า  "ท่านบัณฑิต   ท่านก็มีกำลังสติปัญญามากถึงเพียงนี้  เหตุไฉนจึงไม่คิดเอาราชสมบัติเสีย"

มโหสธกราบทูลว่า  "ขอเดชะ  หากข้าพระพุทธเจ้าประสงค์จะเอาราชสมบัติ  ก็จะฆ่าพระราชาในสกลชมพูทวีปเสียในวันนี้  แต่ข้าพระพุทธเจ้าทำอย่างนั้นไม่ได้  เพราะการทำลายผู้อื่นเพื่อหวังทรัพย์และยศแก่ตนนั้น  นักปราชญ์ไม่สรรเสริญเลย  พระเจ้าข้า"  ทูลแล้วมโหสธก็เปิดประตูอุโมงค์ให้ผู้ติดตตามเสด็จออก  ภายในอุโมงค์ก็สว่างไสว  บรรดาผู้ติดอยู่ในอุโมงค์ต่างก็ดีใจ  ออกจากอุโมงค์ตรงเข้าไปแสดงความขอบคุณต่อมโหสธ  ที่ปล่อยให้พวกเขาาได้รอดชีวิตออกมาได้


...................................


จากหนังสือ  ทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย  แปลก  สนธิรักษ์





วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๔๑)


พระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรอุโมงค์

พระเจ้าจุลนีทรงดำริว่า  "เราก็ได้จัดการพิทักษ์รักษาเมืองของเราเป็นอย่างดี  แล้วยกกองทัพมาล้อมอุปการนครนี้ไว้ถึง  ๓  ชั้น  มโหสธยังนำมเหสี  ราชบุตร  ราชธิดา  และพระราชชนนีของเราออกจากเมืองไปถวายพระเจ้าวิเทหราชได้  อนึ่ง  เมื่อพวกเราตั้งล้อมเมืองอุปการนครอยู่ถึง  ๓  ชั้นอย่างนี้แล้ว  มโหสธยังให้พระเจ้าวิเทหราชพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์หนีไป  พวกเราแม้สักคนหนึ่งก็ไม่มีใครรู้  มโหสธจะรู้เล่ห์กลอันเป็นทิพย์หรือเพียงอุบายบังตาหนอ"  เมื่อทรงดำริดังนี้แล้ว  จึงตรัสถามมโหสธว่า

"ดูก่อนมโหสธ  เจ้ารู้กลทิพย์หรือเจ้าทำอุบายบังตา
ในการที่เจ้าปล่อยพระเจ้าวิเทหราชศัตรูของเราให้
พ้นเงื้อมมือของเราไปได้"

มโหสธกราบทูลว่า

"ข้าแต่มหาราช  ธรรมดาผู้เป็นบัณฑิตย่อมรู้กลทิพย์
เมื่อภัยมาถึง บัณฑิตผู้มีความรู้นั้นจึงปลดเปลื้องตนและ
ผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ได้  ทหารของข้าพระองค์ล้วนแต่เป็น
หนุ่มฉกรรจ์  เป็นผู้ฉลาด  ได้ช่วยกันขุดอุโมงค์  แล้ว
นำพระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปทางอุโมงค์นั้น"

พระเจ้าจุลนีทรงมีพระประสงค์จะทอดพระเนตรอุโมงค์  ที่มโหสธบอกว่าตนได้นำพระเจ้าวิเทหราชออกไปทางอุโมงค์นั้น  จึงตรัสแก่่มโหสธว่า  "เราใคร่จะดูอุโมงค์ที่เจ้าบอกนั้น"

มโหสธเมื่อจะนำเสด็จพระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรอุโมงค์จึงกราบทูลว่า  "เชิญเถิดพระเจ้าข้า  ขอเชิญพระองค์เสด็จทอดพระเนตรอุโมงค์อันงดงามรุ่งเรืองวิจิตรตระการตา  มีลวดลายเรขา  ซึ่งนายช่างผู้ชำนาญได้ตกแต่งไว้เพริศแพร้วสวยงามดุจเทพสภา  อุโมงนี้ข้าพระพุทธเจ้าคิดขึ้นด้วยปัญญาของข้าพระพุทธเจ้า  พระองค์จะได้ทอดพระเนตรประตูใหญ่  ๘๐  ประตู  ประตูน้อย  ๖๔  ห้องนอน  ๑๐๑  โคมประทีป  ๑๐๑  เมื่อออกจากอุโมงค์ก็จะเสด็จเข้าสู่อุปการนครที่ข้าพระพุทธเจ้าอยู่นี่แหละ  หรือจะเสด็จขึ้นสู่อุปการนครก่อน  แล้วเสด็จเข้าไปอุโมงค์ก็ได้  ขอเชิญพระองค์เถิด  ข้าพระพุทธเจ้าจะให้เปิดประตูเมืองเพื่อทูลเชิญเสด็จเดี๋ยวนี้"  แล้วมโหสธก็ให้คนรักษาประตูเมืองเปิดประตู

พระเจ้าจุลนีพร้อมด้วยพระราชา ๑๐๑  ได้เสด็จเข้าสู่อุปการนคร

มโหสธลงจากปราสาทถวายบังคมพระราชา  พาเสด็จทอดพระเนตรอุโมงค์

พระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรเห็นอุโมงค์ดุจเทพสภา  จึงตรัสสรรเสริญมโหสธว่า

"ดูก่อน  มโหสธ  นับเป็นบุญลาภอันประเสริฐที่
ชาววิเทหรัฐได้บัณฑิตเช่นเจ้าอยู่ในแคว้นนั้น"

มโหสธกราบขอบพระทัยที่พระเจ้าจุลนีตรัสยกย่องเช่นนั้น  แล้วนำเสด็จทอดพระเนตรห้องนอน  ๑๐๑  เมื่อประตูห้องหนึ่งเปิด  ประตูทั้งหมดก็เปิด  เมื่อประตูห้องหนึ่งปิด  ประตูทั้งหมดก็ปิด

พระเจ้าจุลนีเสด็จทอดพระเนตรไปข้างหน้า มโหสธตามเสด็จไปข้างหลัง  บรรดาเสนาก็ค่อย ๆ  เดินแหงนหน้ามองอย่างเพลิดเพลิน  จนพระเจ้าจุลนีเสด็จออกจากอุโมงค์  บรรดาผู้ตามเสด็จก็ยังเพลิดเพลินอยู่ในอุโมงค์


....................................


จากหนังสือ  ทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย   แปลก  สนธิรักษ์




วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2557

ชาติที่ ๕ พระมโหสธ (หน้า ๔๐)


มโหสธพรรณนาความงามของพระนางนันทาเทวี

มโหสธเห็นพระเจ้าจุลนีแสดงพระอาการกริ้วมาก  จึงคิดว่า  "พระราชาองค์นี้อาจทำร้ายเราด้วยขัตติยมานะและทรงอาจไม่เห็นความสำคัญของกษัตริย์ทั้ง ๔  นั้นก็ได้  เราจะต้องพรรณนาความงามของนางนันทาเทวีให้ทรงระลึกถึงพระนางเข้าไว้  เชื่อว่า  คงไม่ทำอะไร  เพราะทรงรักใคร่ในพระมเหสีของพระองค์  พระองค์จะต้องทรงดำริว่า  หากฆ่าเราเสีย พระเจ้าวิเทหราชก็จักฆ่านางเสียเหมือนกัน

มโหสธคิดดังน้้นแล้ว  จึงกราบทูลพรรณานาความงามของพระนางนันทาเทวีให้พระเจ้าจุลนีฟังว่า

ข้าแต่สมมติเทพ  พระนางเจ้านันทาเทวีพระมเหสี

ทรงมีพระสรีรโฉมงดงามผิดผ่อง  พระฉวีวรรณประดุจ

เอาทองมาทาบทาประเทืองผิว  พระโสณิก็ประดุจ

แผ่นทองคำธรรมชาติ  พระสุรเสียงไพเราะจับใจ  พระ

มารยาทเยื้องกรายงามสง่า  พระภูษาทรงกระทัดรัด

สมส่วนกับพระโฉม  พระบาทสดใส  พระโลหิตขึ้นแดง

ทรงได้ลักษณะเบญจกัลยาณี  พระเนตรดัง่ตานกพิราบ

พระโอษฐ์แดงดุจผลตำลึงสุก  บั้นพระองค์เล็กเรียว

ดุจเถานาคลดา  พระศกดำสนิทช้อยยาวประพระอังสา

ดวงพระนัยนาดั่งดวงตาลูกเนื้อทราย  พระเพลาดุจ

กุญชรชาติ  พระนลาฏเลิศลักษณ์วิไล  พระยุคลถัน

ดังประทุมชาติ  ทุกส่วนใสสรีราพยพงามเลิศล้ำนารี

เป็นความจริงดั่งที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลมา  ฉะนี้"

เมื่อมโหสธกราบทูลพรรณนาพระสรีรโฉม  ของพระนางนันทาเทวีแด่พระเจ้าจุลนีนี้  ทำเอาพระเจ้าจุลนีทรงบังเกิดความเสน่หาในพระนาง  คล้ายกับพระองค์ยังมิได้เคยทอดพระเนตรเห็นมาก่อน

มโหสธทราบจากอาการของพระเจ้าจุลนีว่า  พระองค์ทรงมีความเสน่หาอาลัยในพระนางนันทาเทวี  จึงกราบทูลเติมขึ้นอีกว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นภัสดาของพระนางนันทาเทวี

หากพระองค์ทำให้ข้าพระพุทธเจ้าตาย  พระราชาของข้า

พระองค์ก็จักทำให้พระนางนันทาเทวีสิ้นพระชนม์เหมือน

กัน  เพราะฉะนั้นพระนางเจ้ากับข้าพระองค์จักไปสู่สำนัก

พญายมด้วยกัน  เมื่อพญายมเห็นข้าพระพุทธเจ้าทั้งสอง

ก็จักยกพระนางให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนี้  ข้า

พระพุทธเจ้าจะต้องกลัวตายไปใย  เพราะตายไปแล้วก็ยัง

ได้สตรีแก้ว  เช่นพระนางนันทาเทวีเป็นคู่ครอง"


พระเจ้าจุลนียิ่งสดับถ้อยคำของมโหสธ  ก็ยิ่งทรงมีพระอาลัยในพระมเหสียิ่งขึ้น  ทรงระงับดับพิโรธด้วยทรงเห็นว่า  คนอื่นเว้นมโหสธเสียจะไม่มีใครนำมเหสีที่รักลับคืนมาได้เลย  พระองค์ทรงระลึกถึพระนางสุดที่จะกลั้นความโศกที่ท่วมทับพระทัยอยู่ได้  จึงแสดงความโศกเศร้าออกมาจนปรากฏ

มโหสธจึงกราบทูลเล้าโลมพระเจ้าจุลนีว่า  "ขอเชะ  พระองค์อย่าทรงพระวิตกไปเลย  พระราชเทวี  พระโอรส  พระราชมารดาของพระองค์จักเสด็จกลับมา  เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กลับไปถึงมิถิลานครแล้ว  ขอพระองค์ทรงวางพระราชหฤทัย  คลายพระอาการโศกเสียเถิด  พระเจ้าข้า


..........................................


จาก...หนังสือทศชาติชาดก  (พระเจ้าสิบชาติ)
โดย...แปลก  สนธิรักษ์