ยังมีพราหมณ์ ๔ คน มารับทานไม่ทัน พอรู้ว่าพระองค์เสด็จไปด้วยรถทรง ก็รีบติดตามไปด้วยตั้งใจจะขอพระราชทานม้า พระเวสสันดรได้ตรัสกับพระนางมัทรีไว้แล้วว่า ให้คอยดูเผื่อจะมียาจกตามมา พอทรงทราบว่าเขาอยากจะได้ม้า จึงให้หยุดรถปลดม้าประทานให้ไปหมดทั้ง ๔ ตัว
ร้อนถึงเทวดา ต้องแปลงเป็นละมั่งมาเข้าแอกแทนม้าทั้ง ๔ แล้วพารถวิ่งไป ต่อมายังมีพราหมณ์มาอีกคนหนึ่ง ทูลขอรถเสียเลย พระองค์จึงทรงให้รถหยุด พาพระนางมัทรีพร้อมทั้งพระโอรสลงมาแล้วก็ประทานรถให้ไปโดยมิได้หวั่นไหวหรือท้อพระทัยเลย ครั้นแล้ว พระเวสสันดรทรงอุ้มพระชาลี พระมัทรีทรงอุ้มพระกัณหา ตรัสปราศรัยกันด้วยถ้อยคำน่ารัก บ่ายพระพักตร์ตรงไปยังแดนหิมพานต์
๔. วันประเวศน์
เมื่อกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ ทอดพระเนตรเห็นพวกมนุษย์เดินสวนทางมาจึงตรัสถามว่า "เขาวงกตอยู่ที่ไหน ?"
"ยังอีกไกลนัก" พวกมนุษย์ตอบ
ทารกทั้งสองเห็นต้นไม้ที่มีผลดกต่าง ๆ ก็ร้องไห้อยากจะได้ ด้วยอานุภาพของพระเวสสันดร ต้นไม้นั้น ๆ ก็น้อมกิ่งลงมาใกล้แค่หัตถ์เอื้อม พระองค์ก็ทรงเลือกผลไม้ต่าง ๆ ประทานแก่พระราชโอรสทั้งสอง พระนางมัทรีทรงรู้สึกมหัศจรรย์ยิ่งนัก
ระยะทางจากกรุงเชตุดร (นครสีพี) ถึงมาตุลนครนั้น ประมาณ ๓๐ โยชน์ (๔๘๐ กม.) เทวดาช่วยย่นระยะทางลงให้เหลือเพียงแค่เดินได้ในวันเดียว สี่กษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินนับแต่เช้าชั่วเย็นก็บรรลุถึงมาตุลนครแคว้นเจตรัฐ
มาตุลนครแห่งแคว้นเจตรัฐนี้ เป็นชนบทที่เจริญมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์เป็นนิวาสถานของเจ้านายถึง ๖๐,๐๐๐ องค์ พระเวสสันดรมิได้เสด็จเข้าไปในพระนคร แต่ประทับอยู่ ณ บรรณศาลาใกล้ประตูพระนคร ส่วนพระนางมัทรีทรงจินตนาการว่า "เราควรแสดงตัวให้ชาวนครทราบว่า พระเวสสันดรเสด็จมา" จึงเสด็จออกไปประทับยืนอยูริมประตูบรรณศาลา ผู้คนที่ผ่านไปมา โดยเฉพาะพวกสตรีเห็นพระนาง
มัทรีเข้า ต่างก็พากันมาล้อมดูเป็นวงและพูดจากันว่า "พระแม่เจ้าสวยงามเป็นสุขุมาลชาติ ไฉนจึงต้องมาดำเนินไพรเช่นนี้"
ไม่ช้า การเสด็จของพระเวสสันดรก็แพร่เข้าไปในพระนคร เจ้านายเหล่านั้นต่างก็พากันมาเฝ้าเพื่อทูลถามความเป็นไป ครั้นพอได้ทรงสดับคำตามที่พระเวสสันดรตรัส ก็มีความเสียพระทัยไปตาม ๆ กัน ได้ทูลเชิญให้พระเวสสันดรเสด็จประทับสำราญพระอิริยาบถในพระนคร
พระเวสสันดร "เราขอขอบพระทัยท่านทั้งหลาย แต่ขอให้ท่านทั้งหลายได้โปรดให้เราได้ไปตามพระบรมราชโองการของพระเจ้าสญชัยผู้บิดาเถิด อย่าได้ทรงปริวิตกในเคราะห์กรรมของเราเลย"
"พวกข้าพระองค์จะขอกราบทูลพระราชทานอภัยโทษให้" พวกเจ้านายเหล่านั้นทูล "ขอพระองค์เสด็จประทับอยู่ชั่วคราวก่อน เป็นภารธุระของข้าพระองค์ที่จะจัดการเอง พระเจ้าสญชัยจะทรงยินยอมอย่างแน่นอน"
พระเวสสันดร "อย่าเลยท่านทั้งหลาย แม้ถึงพระราชบิดาของเราก็มิได้ทรงเป็นอิสระในเรื่องนี้ ชาวเมืองต่างหากที่ประสงค์จะกำจัดเราเสีย"
พระยาเจตราชเหล่านั้นจึงกราบทูลพร้อมกันว่า "ข้าแต่พระองค์ ถ้าพฤติการณ์ของชาวเมืองเป็นเช่นนั้นไซร้ ชาวเจตรัฐนี้ก็ขอถวายตัวเป็นข้าราชบริพาร เชิญพระองค์เสด็จครองราชสมบัติในเจตรัฐนี้ทีเดียว ขอได้ทรงโปรดปลงพระหฤทัยเอื้อเฟื้อแก่พวกข้าพระองค์เถิด"
พระเวสสันดร "เรามีความประสงค์เด็ดเดี่ยวที่จะไปยังเขาวงกต คำเชื้อเชิญของท่านทั้งหลายครั้งนี้ นับเป็นความปรารถนาดีอย่างที่สุดแล้ว ถ้าเราจะเปลี่ยนใจครองราชสมบัติในนครเจตรัฐนี้ ก็จะเกิดบาดหมางอย่างร้ายแรงขึ้น สงครามอันร้ายกาจระหว่างชาวสีพีกับชาวเจตรัฐก็อาจเกิดขึ้นได้ มหาชนก็จะพึงฆ่าฟันกันเพราะเหตุแห่งตัวเราผู้เดียว อันเป็นผลร้ายอย่างที่สุดซึ่งไม่อาจคาดคะเนได้ ทางที่ดีที่สุด ก็คือขอให้ท่านจงช่วยชี้ทางที่จะไปยังเขาวงกตแก่เราตามพระบรมราชโองการนั้นเถิด"
แม้ว่าพระยาเจตราชจะกราบทูลวิงวอนสักเท่าไร ๆ ก็ไร้ผล แม้กระนั้นก็ได้จัดการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ ได้พร้อมกันประดับประดาบรรณศาลานั้นกั้นวิสูตร จัดแท่นบรรทมถวาย ล้อมวงอารักขาอย่างดียิ่ง พอรุ่งเช้าจัดถวายพระกระยาหารอันเลิศรสประการต่าง ๆ ครั้นแล้วก็พากันแวดล้อมพร้อมกันโดยเสด็จตามส่งจนถึงประตูป่า และได้พรรณนาป่าถวายเป็นใจความโดยย่อว่า
"ข้าแต่พระมหาราช จากนี้ไป ขอเชิญพระองค์ทรงบ่ายพระพักตร์ทางทิศอุดร เสด็จผ่านภูเขาวิบูลบรรพตแล้วจะถึงแม่น้ำเกตุมดี อันเป็นที่น่ารื่นรมย์สำราญพระทัย จากนั้นไปจะถึงภูเขานาสิกบรรพต จะมีหมู่กินรีมากมายและมีสระใหญ่เต็มไปด้วยบัวขาวกลิ่นหอมหวน ประกอบด้วยหมู่วิหกนกร้องประสานเสียงเร้นอยู่ในไพร จากนั้นไปก็จะถึงสระโบกขรณีมีท่าน้ำน่ารื่นรมย์ เมื่อพระองค์สร้างบรรณศาลาที่ประทับแล้ว ก็จะได้ทรงบำเพ็ญเพียร เลี้ยงพระชนม์ชีพอยู่ด้วยมูลผลาหาร ฯลฯ"
พระเวสสันตรัสขอบพระทัยพระยาเจตราชทั้งหลายแล้ว ก็พาพระนางมัทรีและราชโอรสทั้งสอง บ่ายพระพักตร์ตรงมุ่งไปตามคำบอกเล่า ระยะทางจากเจตรัฐนครมาถึงประตูป่านั้นได้ ๑๕ โยชน์ จากนั้นได้เสด็จต่อไปตามลำดับ ในที่สุดก็บรรลุถึงสระโบกขรณีตามคำบอกทุกประการ และได้ทรงพบบรรณศาลาอันเป็นที่อยู่ของบรรพชิต ซึ่งเทวดามาเนรมิตไว้ให้ ตามบัญชาของท้าวสักกเทวราช พระองค์ทรงสัณนิษฐาน ก็ทรงทราบด้วยพระญาณว่าเทวดาช่วย จึงให้พระนางมัทรีประทับอยู่ภายนอกบรรณศาลา แล้วก็เสด็จเข้าไปในนั้น ทรงเปลื้องพระขรรค์และเครื่องทรงออก แล้วครองผ้าคากรองอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต และทรงรำพึงว่า "การบรรพชาเป็นสุขแล้วหนอ"
ส่วนพระนางมัทรีก็ปฏบัติเช่นเดียวกัน แต่ทว่าประทับอยู่นอกอาศรมพร้อมด้วยราชโอรส
พระเวสสันดรตรัสว่า "นับแต่วาระนี้ต่อไป เธออย่าเข้ามาหาเราในเวลาอันมิบังควร เพราะว่าสตรีเป็นราคีแก่พรหมจรรย์ ต่อเมื่อมีเหตุการณืสำคัญ ๆ จึงพาพระราชโอรสมาหาเราได้"
พระนางมัทรีรับพระดำรัส แล้วก็ตั้งใจปฏิบัติกิจวัตรด้วยดี เป็นต้นว่าเช้าก็เข้าป่าไปหาผลไม้มาถวาย จัดน้ำใช้น้ำฉันให้บริบูรณ์ ดูแลพระราชโอรสให้มีความสุข ทั้ง ๔ ชีวิตก็ดำรงชีพอยู ณ ที่อาศรมนั้น จนวันเวลาล่วงเลยไปได้ ๗ เดือน
...............................
(ยังมีต่ออีก)